ทริปนี้ใช้เวลา 10 วัน ออกเดินทางจากกรุงมาราเกช (Marrakesh) ขับรถข้ามเทือกเขา Atlas Mountains ผ่านช่องแคบ Tizi n’Tichka หยุดชมเมืองโบราณ ทิวทัศน์หุบเขา สัมผัสทะเลทรายซาฮาร่า และอารยธรรมอันเก่าแก่ของชุมชนชาวเบอร์เบ้อ ปิดท้ายด้วยการเที่ยวชมเมืองเฟส (Fes) เมืองเชฟชาอูน (Chefchaouen) และเมืองแท็งเจียร์ (Tangier)

การเดินทาง: ทริปนี้จะเน้นการเดินทางด้วยรถยนต์เป็นหลัก เพื่อนๆสามารถเช่ารถขับเอง หรือจ้างคนขับรถส่วนตัวได้ เส้นทางและท้องถนนของทริปนี้ค่อนข้างดี เป็นถนนลาดยางตลอดสาย แต่จะคดเคียวพอสมควร ส่วนที่เขียนไว้ว่าใช้ 10 วันนั้น คืออย่างน้อยต้องมีเวลา 10 วัน แต่ที่ถ้าอยากเที่ยวแบบไม่เร่งรีบ สามารถยืดเวลาเป็น 2 อาทิตย์ได้อย่างสบายๆ
ไฮไลท์ของทริปนี้
- หลงเสน่ห์ความสงบของ Chefchaouen เมืองสีฟ้าแห่งโมร๊อกโก
- เดินสำรวจ Volubilis ซากเมืองโรมัน
- ขี่อูฐ นอนเต็นท์ในทะเลทรายซาฮาร่า
- เดินหลงใน Fes เมืองเขาวงกตแห่งโมร๊อกโก
- นั่งจิบชา สัมผัสความวุ่นวาย ณ จัตุรัส Jemaa el-Fna ในกรุง Marrakesh
ตารางการเดินทาง
วัน | ไฮไลท์ | ค้างคืน |
1 | Marrakesh | Marrakesh |
2 | Essaouira | Essaouira |
3 | กลับมาเที่ยว Marakesh | Marrakesh |
4 | Tizi n’Tichka, Aït Benhaddou และ Ouarzazate | Boumalne Dades |
5 | Todra Gorge และ Sahara Desert | Merzouga |
6 | Middle Atlas: Ziz Valley & Midelt | Fes |
7 | Fes | Fes |
8 | Volubilis และ Meknes | Chefchaouen |
9 | Chefchaouen และ Tangier | Tangier |
10 | เที่ยว Tangier จนถึงเวลาขึ้นเครื่อง |
วันที่ 1: กรุงมาราเกช (Marrakesh)

วันนี้บุกเที่ยวในเขตเมืองเก่า หรือ “มาดิน่า” กันก่อนเลย เริ่มต้นจากจตุรัส Jemaa el-Fna ซึ่งตั้งอยู่กลางเมืองเยื้องจาก Koutoubia Mosque ไม่ไกลมากนัก บริเวณรอบๆ ก็จะมีซุกส์ (souks) หรือตลาดแบบดั้งเดิม ที่ขายสารพัดสินค้าจากเครื่องเทศไปถึงงานฝีมือ ที่พลาดไม่ได้ก็มี Souk el Attrin (ตลาดเครื่องเทศ), Souk Haddadine (งานฝีมือสลักโลหะ), Souk Smata (รองเท้าแตะผ้าสไตล์พื้นเมือง) และ Souk des Teinturiers (งานย้อมสีต่างๆ)
สำหรับคนที่สนใจงานสถาปัตยกรรม แนะนำให้เข้าไปดู Bahia Palace, Saadian Tombs และ El Badi Palace สถานที่ 3 แห่งนี้ตั้งอยู่ด้านใต้ของจตุรัส Jemaa el-Fna และอยู่ไม่ห่างจากกันมากนัก และยังมี Marakesh Museum หรือ Museum of Moroccan Arts สำหรับคนที่สนใจงานศิลปะชาวพื้นเมืองโมร๊อกโก
วันที่ 2: เอสเซาอิร่า (Essaouira)

สายๆ ออกเดินทางไปยังเมืองเอสเซาอิร่า (Essaouira) ซึ่งเป็นเมืองชาวประมงฝั่งแอตแลนติคอันเทรนดี้ของโมร๊อกโก เดินทางด้วยรถยนจากกรุงมาราเกชใช้เวลาประมาณ 2-3 ชม. ระหว่างทางจะผ่านสวนต้นอาร์แกน ซึ่งอาจจะเห็นฝูงแพะยืนอยู่ตามกิ่งต้นอาร์แกนกินพืชผลกันอยู่ เราสามารถหยุดชมการกลั่นน้ำมันอาร์แกนอย่างแท้จริงได้ด้วย
เมื่อถึงเมืองเอสเซาอิร่า สามารถเดินเที่ยว Skala du Port เป็นจุดจอดเรือชาวประมง และ Skala de la Kasbah ซึ่งเป็นป้อมและกำแพงเมืองที่ชาวโปรตุเกสสร้างไว้ในศตวรรษที่ 16 เดินบนกำแพงไปจนถึง Place Moulay Hassan (จตุรัสศุนย์กลางของเมือง) ต่อจากนั้นเดินสำรวจเมดิน่า ซึ่งเป็นเขตเมืองเก่าที่จะพาคุณย้อนเวลากลับไปในอดีต ในนั้นจะเป็นถนนคนเดินที่มีบ้านสีฟ้าและขาว เด็กๆวิ่งเล่นกันตามท้องถนน มีแผงลอยข้างทางขายของที่ระลึกทุกชนิด ตกเย็นก็มานั่งทานอาหารทะเลดูพระอาทิตย์ตกริมทะเลกันได้
วันที่ 3: กรุงมาราเกช (อีกรอบ)

ตื่นเช้ามา เดินเล่นสูดอากาศอันสดชื่นริมทะเลรอบสุดท้ายก่อนขึ้นรถกลับกรุงมาราเกช
พอถึงมาราเกช ถ้าไม่คิดถึงมาดิน่ากัน ก็ออกมาเที่ยวนอกรั้วเมดิน่ากันบ้าง จ่ายตั๋วเข้าเดินชมสวน Majorelle Gardens ชื่นชมพันธ์ไม้อันสวยงามและใหญ่โตของกรุงมาราเกช หลังจากนั้นก็สามารถเดินเที่ยวย่าน Gueliz สุดเก๋ที่อยู่ไม่ห่างจาก Majorelle Gardens นัก ย่านนี้มีร้านขายของตกแต่งบ้านและเสื้อผ้าเก๋ไก๋ ร้านอาหารกินเล่น คาเฟ่เล็กๆ น่านังจิบชากาแฟเปิดติดกันเป็นแถว
วันที่ 4: Dades Valley, Quarzazate และ Aït Benhaddou

โบกมือลากรุงมาราเกชที่แสนวุ่นวาย ออกเดินทางกันแต่เช้า มุ่งหน้าสู่เทือกเขา Atlas Mountains ขับไต่ขึ้นเขาผ่านช่องแคบ Tizi n’Tichka ระหว่างทางมีร้านกาแฟและร้านขายของเล็กๆ ที่สามารถจอดลงถ่ายรูปวิวเทืองเขา และยอดเขา Mount Toubkal (สูงที่สุดในแอฟริกาเหนือ) ได้อย่างสวยงาม
ขับข้ามลงเขามาซักระยะ ก็จะเจอเมือง Quarzazate ซึ่งมีชื่อเสียงมาจากที่ได้เป็นฉากให้หนังโรงดังๆ มาหลายสิบเรื่อง รวมไปถึงเรื่อง Gladiator, Black Hawk Down และ Lawrence of Arabia — ถ้าใครสนใจ ยังมีพิพิธภัณฑ์ Musée du Cinema ให้ได้เข้าไปดูวิธีและกระบวนการถ่ายทำหนังเหล่านี้กันด้วย
ถัดจาก Quarzazate ไปหน่อย จะเป็นหุบเขาที่เต็มไปด้วยเมืองเล็กเมืองน้อย ส่วนใหญ่จะเป็นเมืองเก่าที่ไม่มีคนอาศัยอยู่แล้ว หนึ่งในนั้นคือเมือง Aït Benhaddou ซึ่งเป็นเมืองเก่าชื่อดังที่ค่อนข้างสมบูรณ์ และยังได้ถูกยกให้เป็นมรดกโลกโดยหน่วยงาน UNESCO อีกด้วย
ตกเย็นหยุดพักแถวเมือง Boumalne Dades ซึ่งอยู่ทางขึ้น Dadès Gorge และไม่ไกลนักจาก Todgha Gorge
วันที่ 5: Todra Gorge & Sahara Desert

วันนี้ออกเดินทางกันเช้าหน่อย เพราะสถานที่เที่ยวแต่ละแห่งต้องใช้เวลาเยอะ จุดหมายปลายทางของวันนี้ คือ เมือง Merzouga ซึ่งเป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ไปขึ้นอูฐออกไปเที่ยวทะเลทรายกัน
เริ่มต้นวันด้วยการขับรถขึ้น Dadès Gorge และตรงไปยัง Todgha Gorge ซึ่งเป็นหุบเขาที่มีกำแพงหินสูงใหญ่ มีแม่น้ำ Taodgha River ไหลผ่าน และทางเดินที่เพื่อนๆ สามารถจอดรถลงเดินชมหุบเขา และชุมชนการเกษตรที่อยู่แถวนั้นได้ หลังจากนั้นก็ขับตรงไปยังเมือง Merzouga ระหว่างทางจะมีหมูบ้าน Rissani เป็นหมู่บ้านชาวยิปซี ที่มีตลาดเก่าแก่ขายของท้องถิ่นมากมาย ถ้ามีเวลาก็สามารถแวะเข้าไปเดินดูการเป็นอยู่และสินค้างานฝีมือ
เมื่อถึง Merzouga ก็ขึ้นอูฐออกเดินทางสู่ทะเลทรายไปยังแค้มป์ในทะเลทรายที่จะนอนค้างคืน ส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ละแวกเนินทราย Erg Chebbi ซึ่งเป็นเนินทรายใหญ่แพ็คไปด้วยกิจกรรมที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ขับ ATV ไปเยี่ยมชมชุมชนต่างๆในทะเลทราย เล่นแซนด์บอร์ด หรือ ขี่อูฐปินเนินทรายขึ้นไปนั่งดูพระอาทิตย์ตก
วันที่ 6: Middle Atlas — Ziz Valley & Midelt

ออกเดินทางต่อ มุ่งหน้าขึ้นเหนือไปยังเทือกเขา Middle Atlas ซึ่งภูมิอากาศแถบนั้นจะค่อนข้างชื้น มีป่าไม้ มีหิมะเกาะอยู่บนยอดเขา มีแอ่งนำ้เล็กใหญ่สลับกับที่ราบดินแดงและต้นไม้ที่ขึ้นอยู่กันเป็นหย่อมๆ ไปตลอดทาง วิวระหว่างทางสวยงามมากเลยทีเดียว
หลังจากรับประทานอาหารเช้า และเดินทางออกมาจาก Erg Chebbi ได้ซักระยะ ก็จะถึงช่องเขา Tizi n’Talremt ซึ่งเส้นทางจะเริ่มชัน และคดเคี้ยวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ขับไต่เขาขึ้นมาเรื่อยๆ จนถึงจุดชมวิว Ziz Valley สามารจอดพักลงยืดเส้นยืดสาย และถ่ายรูปกันได้ — Ziz Valley เป็นหุบเขาที่เต็มไปด้วยต้นปาล์มขึ้นอยู่กันอย่างหนาแน่น มองไปก็จะเห็นเมืองโอเอซิสเล็กๆ ที่ตั้งอยู่กระจัดกระจายเป็นจุดๆ
บนเทือกเขา Middle Atlas จะมีเมือง Midelt ที่เวลาขับผ่าน จะเห็นต้นแอปเปิ้ลขึ้นกันอย่างหนาทึบเต็มสองข้างทาง ถ้าใครโชคดีก็จะเห็นฝูงลิงบาร์บารีตัวเล็กตัวน้อย ออกมานั้งตามกิ่งต้นแอปเปิ้ล คอยทักทายนักท่องเที่ยวที่หยุดถ่ายรูปตามขอบถนน — จาก Midelt เดินทางต่ออีก 3 ชม. ถึงเมือง Fes
วันที่ 7: เฟส (Fes)

เฟส (Fes) เป็นเมืองจักรพรรดิที่เก่าแก่ที่สุดของโมร๊อกโก ตั้งอยู่บนพื้นที่อุดมสมบูรณ์ระหว่างเทือกเขารีฟ (Rif Mountain) และเทือกเขาแอตลาสตอนกลาง (Middle Atlas) มีแม่น้ำเฟส (River Fes) ไหลผ่านกลาง เมืองเฟสประกอบได้ด้วย 3 เขตใหญ่ๆ ด้วยกัน เขตแรก Fes el Bali เป็นเขตในเมดิน่าที่เก่าแก่ที่สุดของเมือง สถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะอยู่ในเขตนี้ เขตที่สองคือ Fes el Jdid ชึ่งเป็นเขตในเมดิน่าที่ใหม่ขึ้นมาหน่อย และเขตสุดท้าย Ville Nouvelle เป็นเขตเมืองใหม่ที่ชาวฝรั่งเศสเข้ามาสร้าง และอาศัยอยู่กันเยอะในช่วงศตวรรษที่ 20
สถานที่ที่พลาดไม่ได้คือ Chouara Tannery โรงย้อมหนังชื่อดังของเมืองเฟส และสถานศึกษาอันเก่าแก่ของเมืองเฟส Al Attarine Madrasa ซึ่งด้านในมีงานกระเบื้องที่งดงามและเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ หลังจากนั้นเดินชมสินค้างานฝีมือตาม souks ทางด้านใต้ของเมดิน่า จนไปถึง Bab Bou Jeloud (Blue Gate) หรือประตูเมืองสีนำเงิน ที่อยู่ไม่ห่างจากพิพิธภัณฑ์ศิลปะพื้นบ้านของชาวโมร็อกโก Batha Museum ไปไม่มากนัก
วันที่ 8: Volubilis & Meknes

ก่อนที่จะเดินทางออกจากเฟส แวะขึ้นไปชมวิว 360 ของเมืองเฟสบนเนิน Merenid Tombs ต่อจากนั้นเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมือง Meknes ซึ่งเป็นเมืองจักรพรรดิเก่าแก่อีกเมืองหนึ่งของโมร๊อกโก หยุดแวะเดินสำรวจเมดิน่า สถานที่สำคัญที่ไม่ควรพลาด คือ กำแพงเมือง Bab al-Mansour และสุสาน Mausoleum of Moulay Ismail
ถัดไปไม่ไกลมากนัก ก็ถึงซากเมืองโรมัน Volubilis ซึ่งถือว่าเป็นถิ่นฐานของชาวโรมันในแอฟริกาที่ไกลจากกรุงโรมมากที่สุด ถ้าเดินสำรวจไปเรื่อยๆ ใช้เวลาประมาณ 45 นาที ถึง 1 ชั่วโมงได้ จุดที่น่าให้ความสนใจเป็นพิเศษก็คือ ระบบการถ่ายเทความร้อน เสาคอลัมน์ ประตูเมือง และลวดลายกระเบื้องปูพื้นที่เล่าถึงความสำคุญของแต่ละจุดของเมือง
มุ่งหน้าขึ้นเหนือต่อไปยังเมือง Chefchaouen ซึ่งเป็นเมืองจุดหมายปลายทางของเราในวันนี้ แต่ก่อนที่จะเข้าไปในตัวเมือง พอใกล้ๆ ถึง ก็จอดรถลงมาชมวิวพระอาทิตย์ตก กับเมือง Chefchaouen ที่บนเนินเขาริฟให้ชื่นใจกันหน่อยก่อน
วันที่ 9: เชฟชาอูน (Chefchaouen)

Chefchaouen เป็นเมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บนเทือกเขาริฟ ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1471 เพื่อเป็นที่พักพิงของชาวมัวร์และชาวยิวที่ถูกเนรเทศออกจากประเทศสเปน นับว่าเป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดเมืองหนึ่งในโมร็อคโก
เริ่มต้นที่ลาน Place Uta el-Hamam ใจกลางของเมือง รอบๆ จะมีร้านค้า ร้านอาหารเยอะแยะเต็มไปหมด เหมาะกับการนั่งจิบชาดูผู้คนทำมาหากิน แวะเข้าชมพิพิธภัณฑ์ Kabash Museum ซึ่งเป็นป้อมปราการเก่าที่ถูกบูรณะให้เป็นพิพิธพันธ์ เก็บสะสมวัตถุโบราณ และงานศิลป์ท้องถิ่นของเมืองเชฟชาอูนไว้อย่างดี ถัดไปหน่อยเป็น Grand Mosque ซึ่งแม้แต่จะเข้าไม่ได้ถ้าไม่ใช่คนมุสลิม ก็ยังคุ้มกับที่ได้เดินผ่านชมงานกระเบื้องหน้าประตูทางเข้าอันสวยงาม
ถ้ามีเวลา แนะให้เดินเล่นในเมดิน่า และย่าน Quartier Al-Andalus สัมผัสความสันโดษและเงียบสงบของเมืองสีฟ้าแห่งเทือกเขาริฟนี้
บ่ายๆ ออกเดินทางจาก Chefchaouen ต่อไปยัง Tangier ซึ่งใช้เวลาแค่ประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าๆ ก็ถึง ถ้าพรุ่งนี้ไม่มีเวลามากนัก แนะให้ตรงเข้าไปเที่ยวในเมดิน่าก่อนเลย ไปเดินสัมผัสกลิ่นไอความคลาสสิก และความเก่าแก่ของเมือง
วันที่ 10: แทงเจียร์ (Tangier)

Tangier เป็นเมืองพอร์ทที่ใหญ่เมืองหนึ่งของโมร๊อกโค ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาแทงเจียร์เพื่อขึ้นเรือสำราญ หรือชาวยูโรปที่นั่งเรือเฟอรรี่ข้ามฟากมาจากสเปน เพื่อมาตั้งหลักก่อนเดินทางไปเมืองอื่น ทำให้เมืองแทงเจียร์นี้ เป็นเมืองที่ได้รับอิทธิพลจากชาวต่างชาติมากที่สุดเมืองหนึ่งของโมร๊อกโค
สิ่งที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาถึงแทงเจียร์แล้ว ก็คือ เดินสำรวจในเมดิน่า เริ่มต้นที่ลานกลางเมือง Petit Socco ซึ่งเป็นลานที่ไม่ใหญ่มากนัก แต่สถานที่แห่งนี้เคยที่พักพิงและแรงบันดาลใจให้กับนักเขียนชื่อดังๆ จากทั่วโลก ทางด้านตะวันตกของ Petit Socco จะเป็นโบสถ์ Church of the Immaculate Conception สร้างขึ้นโดยชาวสเปนในปี 1880 อีกฟากของลานจะเป็น Grand Mosque และตึก Old American Legation ส่วนใครสนใจงานศิลปกรรม และเรื่องราวประวัติความเป็นมาของโมร๊อกโค ก็ตรงมาที่ Kasbah Museum ได้เลย