โมรอคโค เสน่ห์แห่งโลกตะวันออกกลางบนดินแดนแอฟริกา

โมรอคโค” ประเทศทางตอนเหนือของทวีปแอฟริกา มีพื้นที่ติดต่อทั้งชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือและทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มีชายแดนทางตอนใต้ติดกับทางตะวันตกของทะเลทรายซาฮาร่า ทางตะวันออกติดกับแอลจีเรียและอาณานิคมเล็ก ๆ ของชาวสเปนนิชแอฟริกันซึ่งตั้งอยู่บนชายฝั่งทางตอนเหนือของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

ด้วยระยะทางที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากประเทศทางยุโรปมากนัก โมรอคโคมีทุกสิ่งที่จะทำให้เหล่านักท่องเที่ยวหลงรักในสีสัน กลิ่นอายและเสียงเพรียกแห่งโลกตะวันออกกลางบนดินแดนแอฟริกาแห่งนี้ ตลาดกลางแจ้งที่เต็มไปด้วยผู้คนและร้านค้าขายเครื่องเทศ มัสยิดที่แสนงดงาม เมืองเรียบชายหาดสีขาวและใจกลางเมืองที่ยังคงความดั้งเดิมในแบบสมัยยุคกลาง และด้วยทัศนีย์ภาพที่หลากหลายของประเทศตั้งแต่ยอดเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะจนถึงทัศนีย์ภาพของทะเลทรายซาฮาร่าที่กว้างไกลสุกลูกหูลูกตา เป็นที่แน่ชัดว่าทุกคนที่มาเยี่ยมเยือนโมรอคโคจะไม่มีทางรู้สึกเบื่อประเทศที่งดงามแห่งนี้อย่างแน่นอน

การเดินทางท่องเที่ยวโมรอคโคหากเริ่มจากเมืองคาซาบลังกา (Casablanca) จะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดเพราะว่าเมืองแห่งนี้เป็นเมืองท่าที่ใหญ่และมีชื่อเสียงที่สุดในประเทศ ทั้งยังเป็นที่ตั้งของมัสยิด Hassan II Mosque มัสยิดที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของโลกรองจากมัสยิดแห่งเมืองเมกกะ ประเทศซาอุดิอาราเบีย โดยทั่วไปแล้วนักท่องเที่ยวมักจะใช้เวลาในการท่องเที่ยวเมืองแห่งนี้ไม่นาน แต่เพียงการได้ชมสถาปัตยกรรมการตกแต่งบ้านเมืองของที่นี่ก็ถือว่าคุ้มค่ากับการมาเยือนแล้ว

เมื่อออกจากเมืองคาซาบลังกาแล้วสามารถมุ่งหน้าไปที่เมืองมาราเกช ซึ่งเป็นที่รู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่า “นครสีชมพู” เนื่องจากเมืองนี้มีลักษณะโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ด้วยสีของตึกรามบ้านช่องตั้งแต่อดีต สร้างความประทับตราตึงใจให้แก่ผู้พบเห็นตั้งแต่ครั้งแรกที่ก้าวเข้ามาในเมือง สถานที่น่าสนใจในเมืองนี้คือตลาดกลางแจ้งที่คึกคักไปด้วยผู้คน ประตูและกำแพงเมืองเก่าแก่ หลุมฝังศพ Saadian ซากปรักหักพังของปราสาท El Badi และมัสยิด Koutoubia และหอสูงประจำสุเหร่าที่มีอายุเก่าแก่กว่า 12 ศตวรรษ ก่อนพระอาทิตย์ตกดินไม่ควรลืมเดินทางไปแวะย่าน Jamaa el-Fnaa จัตุรัสที่ใหญ่ที่สุดในแอฟริกา เป็นแหล่งรวบรวมร้านขายอาหารและพื้นที่แสดงความสามารถอันหลากหลายของชาวมาราเกช

หนึ่งสถานที่ที่พลาดไม่ได้เลยคือ Aït Benhaddou เมืองป้อมปราการเก่าแก่ที่ตั้งอยู่ตามเส้นทางคาราวานระหว่างทะเลทรายซาฮาร่าและเมืองมาราเกช ปัจจุบันเมืองแห่งนี้เป็นทั้งที่อยู่อาศัยของคนท้องถิ่นบางส่วนและพ่อค้าที่ขายสินค้าหลากหลายให้แก่นักท่องเที่ยวที่มาเยือน ลักษณะของตัวบ้านเรือนทำจากดินเหนียวสีแดงทั้งหลัง นับว่าเป็นต้นแบบที่ล้ำค่าของสถาปัตยกรรมการสร้างบ้านด้วยดินเหนียวสไตล์โมรอคโค

อีกเมืองที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือเมืองเฟส อดีตเมืองหลวงที่ยังคงความงดงามจากอดีตจวบจนปัจจุบัน เสน่ห์ของเมืองคือถนนเก่าแก่ตั้งแต่สมัยยุคกลางที่มีเส้นทางคดเคี้ยวคล้ายกับเขาวงกต ประตูเมือง และมหาวิทยาลัยโบราณ University of Al-Karaouine และ Bou Inania Madrasa นอกจากนี้ไม่ควรพลาดแวะชมกรรมวิธีการฟอกเครื่องหนังแบบดั้งเดิมที่โรงงาน Chouara Tannery โรงงานย้อมฟอกหนังที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดในเมือง ตั้งอยู่ที่ Blida street Fez Medina และเนื่องจากโรงงานตั้งอยู่ท่ามกลางถนนที่ค่อนข้างแคบ การเดินทางไปที่แห่งนี้จึงสามารถเดินทางไปได้ด้วยการเดินเท้าเท่านั้น

เพื่อเป็นการเพิ่มประสบการณ์ให้ชีวิตก่อนจบทริปการท่องเที่ยวในโมรอคโค ไม่ควรพลาดแวะรับลมทะเลที่เมืองอซิลาห์ หรือเอสเซาอิร่า นอกจากนี้ยังมีนครสีฟ้า “เชฟชาอูน” ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากเมืองเฟส และภูเขาแอตลาสให้นักท่องเที่ยวได้เดินทางไปสำรวจอีกด้วย

What to buy: ของฝากและของที่ระลึกที่ประเทศทางทวีปแอฟริกาและตะวันออกกลางมีขายโดยทั่วไปซึ่งก็คือผลอินทผลัม พรหม เครื่องเซรามิกและเครื่องหนัง ส่วนสินค้าที่หาซื้อได้เฉพาะในโมรอคโคได้แก่ทาจีน เครื่องปั้นดินเผาที่ผ่านการเคลือบอย่างดีสร้างขึ้นมาเพื่อใช้ในครัวเรือน

How to go: สำหรับการเดินทางไปที่โมรอคโคสามารถใช้บริการเดินทางจากสายการบิน Turkish Airlines หรือ Emirates ก็ได้ ซึ่งการเข้าประทศในแต่ละครั้งนักท่องเที่ยวจะต้องเสียค่าเข้าประเทศ 17 ปอนด์ หรือคิดเป็นเงินไทยราว ๆ 740 บาท

7 สถานที่ห้ามพลาดหากได้ไปโมรอคโค

โมรอคโค น่ารักโค-ตร เรื่องจริงไม่ได้โม้ จากหนังคลาสสิค Casablanca, Lawrence of Arabia ถึง Gladiator โมรอคโคคือประเทศที่ซุปตาร์เซเลป ร๊อคสตาร์หรือฮอลลีวูดมักจะโดนเวตมนต์ให้ต้องไปเยือนเสมอ ประเทศนีมีความน่าอัศจรรย์อยู่ไม่น้อย มีแหล่งมรดกโลกมากมาย แล้วยังมีทะเลทรายซาฮาร่าที่ทุกคนคุ้นชื่อกัน มาสำรวจที่เที่ยวไฮไลท์ห้ามพลาดของโมรอคโค จากนั้นมาดูว่าที่ไหนน่าเที่ยวกันมั้ง

นี่คือ 7 เมืองหลักของโมรอคโคที่ทัวร์ควรจะต้องพาไป

มาราเกช โมรอคโค

1. มาราเกช (Marakesh)

เมืองท่องเที่ยวที่สำคัญตั้งอยู่เชิงเขาแอตลาสที่ความโด่งดังแซงหน้าคาซาบลังกาอันเป็นเมืองท่า และราบัทอันเป็นเมืองหลวง ในอดีตเมืองโอเอซิสแห่งนี้เป็นที่พักของกองคาราวานอูฐที่มาจากทางตอนใต้ของโมรอคโค ถือเป็นเมืองชุมทางของพ่อค้าต่างๆ นอกจากนี้ยังเป็นอดีตเมืองหลวงในช่วงสมัยราชวงศ์อัลโมราวิดช่วง ศ.ต.ที่ 11 ปัจจุบันเป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุด สภาพบ้านเมืองที่เราเห็นได้คือ สองข้างทางแวดล้อมด้วยบ้านเรือนที่ถูกฉาบด้วยปูนสีส้มๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลกำหนดไว้ แต่คนท้องถิ่นจะเรียกว่า Pink City หรือ เมืองสีชมพู อาจกล่าวได้ว่ามาราเกชเป็นเมืองที่มีเสน่ห์ที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง จึงได้สมญานามว่าเป็น A city of Drama นั่นคือมีความสวยงามดั่งเมืองในละครที่ไม่น่าเป็นชีวิตจริงได้  

ไฮไลท์ของเมืองนี้คือจัตุรัสกลางเมือง Djemaa Fnaa Square ที่มีขนาดใหญ่ รายล้อมไปด้วยอาคาร ร้านค้า ตลาด ทั้ง 4 ด้าน ดูเผินๆ คิดว่าตลาดสวนรถไฟ แต่นี่แหละคือชีวิตชีวาของที่นี่

เฟซ โมรอคโค

2. เฟส (Fez/Fes)

เมืองมรดกโลกที่เคยเป็นเมืองหลวงเก่าในศตวรรษที่ 8 เดินในเขตเมืองเก่าแล้วเหมือนข้ามกาลเวลาย้อนสู่อดีต สถานที่เที่ยวเด่นๆ มีประตู Bab Bou Jeloud สุสานของมูเล ไอดริสที่ 2 (Moulay Idriss Mausolem II) สุเหร่าใหญ่ไคเราวีน (Kairaouine Mosque) แต่ที่เป็นไฮไลท์ขโมยซีนได้สำเร็จเหนือที่อื่นใดคือบ่อฟอกและย้อมสีหนังแบบโบราณที่เป็นปั๊บก็รู้ว่าเป็นเมืองเฟสแน่นอน

ไอท์ เบนฮาดดู โมรอคโค

3. ไอท์ เบนฮาดดู (Ait Benhaddou)

เป็นเมืองที่ชื่อเสียงในเรื่องการหารายได้จากกองถ่ายทำภาพยนตร์กว่า 20 เรื่อง โดยเฉพาะป้อมที่งดงามและมีความใหญ่ที่สุดในโมรอคโคภาคใต้ คือ ป้อมไอท์ เบนฮาดดู (Kasbash of Ait Ben Hadou) เป็นป้อมหินทรายซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางสวนอัลมอนด์ เป็นปราสาทที่ใช้ในการถ่ายทำภาพยนตร์หลายเรื่องที่โด่งดังอาทิ Lawrance of Arabia, Jesus of Nazareth และ Gladiator ปัจจุบันอยู่ในความดูแลขององค์การยูเนสโก้

คาซาบลังกา โมรอคโค เล็ทส์โก

4. คาซาบลังกา (Casablanca)

เมืองที่ต่อให้เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอยู่ที่ไหนในโลก ก็ต้องเคยได้ยินชื่อมาจากหนังฮอลลีวูดระดับคลาสสิคจากปี 1942 หรือเพลงป๊อปยอดนิยมจากปี 1982 เมืองท่าหลักที่เป็นจุดแตะลานบินของเที่ยวบินนานาชาติมีไฮไลท์ที่สุเหร่ากษัตริย์ฮัสซันที่ 2 (Hassan II Mosque) อันเป็นสุเหร่าใหญ่อันดับหนึ่งของโมรอคโค และใหญ่เป็นอันดับ 3 รองจากเมืองเมกกะ และเมดิน่าแห่งซาอุดิอาระเบีย สามารถจุคนภายในอาคารได้ 25,000 แต่หากรวมพื้นที่นอกอาคารแล้วสามารถรองรับได้ถึงแสน สุเหร่าที่บางส่วนสร้างยื่นลงไปบนทะเลนี้งดงามประณีตด้วยสถาปัตยกรรมแบบโมรอคโคทุกแขนง 

เนื่องจากเป็นสิ่งก่อสร้างใหม่ เพิ่งสร้างเสร็จเมื่อปี 1993 จึงได้เปรียบด้านเทคโลโลยีคือหลังคาสามารถเลื่อนเพื่อปรับแสงตามความเหมาะสมของการใช้งานได้

ราบัต โมรอคโค เล็ทส์โก

5. ราบัต (Rabat)

เป็นเมืองหลวงทั้งที ไหนจะยอมน้อยหน้า ป้อมไอดูยะ (Kasbah of the Udayas) ป้อมอายุเกือบพันปี เป็นที่ตั้งของสวนอันดาลูเซีย (Andalucia Gardens) ที่ชื่อก็บอกว่าเป็นแบบสเปน ก็ประเทศเขาอยู่ตรงข้ามกันมีทะเลกั้นเท่านั้น จากมุมด้านนอกนี้แฟนหนังฮอลลีวูดอาจจะจำได้ เพราะทอม ครู๊ซเคยขี่มอเตอร์ไซค์ในฉากแอคชั่นไล่ล่าในภาคหนึ่งของ Mission Impossible ที่เที่ยวอื่นมีสุเหร่าหลวง พระราชวังหลวง และสุเหร่าฮัสซัน

เชฟชาอูน โมรอคโค เล็ทส์โก

6. เชฟชาอูน (Chefchaouen)

เมืองสีน้ำเงินทุกบ้านบนเนินเขา เป็นอีกหนึ่งสถานที่ ที่ไม่ควรพลาดเก็บภาพความประทับใจ เมืองเชฟชาอูนเป็นเมืองที่อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของโมร็อกโค ตั้งอยู่ ในเทือกเขา RIF โดยเมืองนี้ก่อตั้งขึ้นในปี 1471 เป็นป้อมปราการขนาดเล็ก ซึ่งยังคงอยู่ มาจนถึงทุกวันนี้ โดย เบนอาลี ซา เบน ต่อสู้กับการรุกรานของชาวโปรตุเกส ใน ปี 1920 เมืองนี้ได้ตกเป็นเมืองขึ้นของสเปน ณ ปัจจุบันเมืองนี้มีประชากรประมาณ 40,000 คน ก็ยังคงใช้ภาษาสเปนกันอย่างแพร่หลาย เมื่อในปี 1956 เมืองนี้ได้กลับสู่การปกครองของโมรอคโคจากความช่วยเหลือของฝรั่งเศล อิสระเก็บภาพแห่งความประทับใจเดินชมเมืองเล็กๆ และมีร้านค้าขายสินค้าพื้นเมืองที่เป็นเอกลักษณ์ของเมืองนี้

เมกเนส โวลูบิลิส โมรอคโค เล็ทส์โก

7. เมกเนส (Meknes)

หนึ่งในเมืองมรดกโลกรับรองโดยยูเนสโกเมื่อปี ค.ศ.1996 อดีตเมืองหลวงในสมัยสุลต่าน มูเล อิสมาอิแห่งราชวงศอ์ะลาวทิ (Alawite Dynasty) ได้ชื่อเป็นกษัตริย์จอมโหดผู้ชื่นชอบการทำสงครามในช่วงศตวรรษที่ 17 มีกำแพงเมืองล้อมรอบเมืองเก่าที่ยาวประมาณ 40 กม. ซึ่งมีประตูเมืองใหญ่โตถึง 7 ประตู แต่ไฮไลท์ที่อาศัยเมืองนี้เป็นจุดแวะตั้งหลักคือเมืองโบราณโรมันโวลูบิลิส (Roman city of Volubilis) ที่เห็นแบบนี้อาจคิดว่าเป็นปอมเปอี ของประเทศอิตาลี นั่นแสดงว่าอาณาจักรโรมันขยายอาณาเขตไปไกลขนาดไหน ปัจจุบันที่นี่เหลือแต่ซากปรักหักพังที่เกิดจากแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงในปี ค.ศ. 1755 แต่ยังคงเห็นร่องรอยความยิ่งใหญ่ของเมืองในจักรวรรดิโรมันในอดีต อดีตเมืองโบราณแห่งจักรวรรดิโรมันนี้มีความสำคัญในยุคศตวรรษที่ 3 และล่มสลายถูกปล่อยเป็นเมืองร้างในศตวรรษที่ 11 โวลูบิลิสได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ.1997

ทะเลทรายซาฮาร่า โมรอคโค เล็ทส์โก

ทะเลทรายซาฮาร่า (Sahara)

ที่นี่ไม่ใช่เมือง แต่เป็นทะเลทรายที่…พระเจ้า…ชื่อนี้คุ้นตั้งแต่จำความได้! เป็นทั้งชื่อหนังและเป็นแรงบันดาลใจของหนังดังหลายเรื่อง ทะเลทรายแห่งนี้ี่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ที่สุดในโลกคือ มีเนื้อที่ประมาณ 9.3 ล้านตารางกิโลเมตร (ใหญ่เท่าอเมริกาทั้งประเทศ) กินพื้นที่เกือบแถบบนทั้งหมดของทวีปแอฟริกา ทะเลทรายซาฮาร่ามีสิ่งแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการดำรงอยู่ของชีวิตมนุษย์ สัตว์ หรือพืช เพราะฝนตกน้อยมาก และพื้นที่ไม่เหมาะแก่การเพาะปลูกหรือเลี้ยงสัตว์ หากมีสัตว์และพืชพันธุ์ใดที่สามารถเติบโตในทะเลทรายได้ ก็ต้องปรับตัวกันอย่างมาก เช่นเดียวกับมนุษย์ที่ต้องหาวิธีในการใช้ชีวิตให้อยู่รอดได้ จากสภาพการไร้ฝนและอุณหภูมิที่ร้อนจัดในทะเลทรายมีผลทำให้ความชื้นสัมพัทธ์ของอากาศเหนือทะเลทราย เกือบเป็นศูนย์ตลอดปี

แม้ทะเลทรายแห่งนี้จะครอบคลุมหลายประเทศ แต่ที่ไปง่ายและเป็นที่นิยมด้านท่องเที่ยวที่สุดก็หนีไม่พ้นที่โมรอคโคและอียิปต์

ข้อมูลเบื้องต้นที่ควรรู้ก่อนไปโมร็อคโค

ก่อนเพื่อนๆจะไปเที่ยวโมร็อคโค เพื่อนๆควรจะรู้เรื่องพื้นฐานอะไรกันก่อนไปบ้างน้า วันนี้เรามีคำตอบค่า

เมืองน่าเที่ยวแห่งโมร็อคโค
  • โมร็อคโค อยู่ในทวีปแอฟริกาเหนือ อยู่ติดกับประเทศสเปนเพียงแค่ทะเลกั้น
  • คนไทยต้องทำวีซ่า มีสถานทูตในไทยสามารถจ้างคนไปยื่นได้ไม่ต้องไปด้วยตัวเอง
  • ใช้สกุลเงินของตัวเอง Dirham ให้แลกเงิน Euro หรือ USD ไปค่อยไปแลกที่โน้น
  • อากาศค่อนข้างแห้งแล้ง ฤดูกาลของเดือนใกล้เคียงยุโรป ( ก็มันติดกัน… )
  • เวลาห่างจากไทย 7 ชั่วโมง ( GMT+0 )
  • เป็นประเทศมุสลิม ดังนั้นการแต่งกายควรสุภาพแต่ไม่ถึงขนาดต้องคลุมผ้า
  • AIS Data Roaming ผมใช้งานได้ดีตลอดทริป มีสัญญาณหายเฉพาะตอนเข้าไปทะเลทรายลึกๆ
  • อาหารค่อนข้างเป็นไปทางแขก แนะนำให้เตรียมอาหารไทยไปให้พร้อม

เมืองน่าเที่ยวแห่งโมร็อคโค

สีสันความหลากหลายทางวัฒนธรรม ไม่เพียงทำให้ “โมร็อคโค” (kingdom of Morroco) ดินแดนสุดขอบทวีปแอฟริกาตะวันตก ที่ห่างจากยุโรปเพียง 14 กิโลเมตร ด้วยช่องแคบยิบรอลต้า กลายเป็นเมืองที่มีชีวิตชีวามากที่สุดแห่งหนึ่ง แต่ยังทำให้เมืองที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของชาวแขกมัวร์ และชนพื้นเมืองชาวแอฟริกัน เบอร์เบอร์ ที่มีรูปแบบวัฒนธรรมผสผสานกับตะวันตกแห่งนี้เป็นที่ไฝ่ฝันของนักเดินทางทั่วโลก

ประเทศโมร็อคโคตั้งอยู่ทางตอนเหนือสุดของทวีปแอฟริกา มีชายฝั่งทางตะวันตกทอดยาวไปตามขอบมหาสมุทรแปซิฟิก ทางเหนือคือทะเลเมดิเตอรเรเนียน ทางตะวันตกเป็นประเทศอัลจีเรีย และทางใต้ติดกับประเทศเวสต์ซาฮาร่า
เนื่องจากโมร็อคโคเคยเป็นเมืองขึ้นของประเทศฝรั่งเศสระหว่างปี 1912-1956 และในช่วงก่อนหน้านั้นตั้งแต่ปี 1860 ดินแดนแห่งนี้ตกอยู่ในความครอบครองของสเปน ดังนั้น สถาปัตยกรรมของโมร็อคโคจึงได้รับอิทธิพลทั้งจากสเปนและฝรั่งเศส รวมถึงภาษาพูดที่มี 2 ภาษา คือ ภาษาอารบิกและภาษาฝรั่งเศส

นักท่องเที่ยวที่มาเยือนโมร็อคโค มักมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่เมืองเก่าที่มีทัศนียภาพงดงาม อาทิ เมืองมาราเคช ทางตอนกลางของประเทศ เมืองนี้ไม่ติดทะเล แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ เมืองเก่าที่เรียกว่า Medina ซึ่งตึกทุกตึกจะมีความสูงไม่เกิน 4 ชั้น และส่วนเมืองใหม่ ซึ่งจะสร้างเป็นตึกสูงตามแบบสมัยใหม่  ตึกทุกตึกในมาราเคชจะมีสีส้ม เนื่องจาก บ้านชาวพื้นเมืองแต่ดั้งเดิมสร้างจากดินสีแดงและคำว่า “มาราเคช” เองก็มีความหมายว่า “สีแดง” ดังนั้น ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็จะเห็นแต่ตึกสี่เหลี่ยมสีส้ม

อีกเมืองหนึ่งคือ คาซาบลังกา (CASABLANCA) ศูนย์กลางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของประเทศ ที่มีเสน่ห์ดึงดูดใจด้วยสีสันความงดงามของสถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมอันเก่าแก่ และยังเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกจากภาพยนตร์เรื่อง “คาซาบลังกา” และ “ลอว์เรนซ์แห่งอาระเบีย”  ทำให้ศิลปินจากทั่วทุกมุมโลกนิยมเดินทางมายังโมร็อคโค
สถานที่สำคัญของเมืองนี้ได้แก่ สุเหร่าแห่งกษัตริย์ฮัสซันที่ 2 พระเจ้าอยู่หัวพระองคืก่อนของโมร็อคโค เป็นสุเหร่าที่มีขนาดใหญ่มากเป็นรองเพียงที่เมกกะเท่านั้น และมีหอคอยสูงถึง 210 เมตร ภายในสามารถรองรับได้ถึง 25,000 คน สร้างขึ้นบนทะเลที่ถูกถมออกไป สามารถชมวิวสวยริมฝั่งทะเลได้จากจุดนี้ ไม่ไกลกันนักมีเมืองน่ารักอีกแห่งริมทะเล แอตแนติกนั่นคือ เมืองราบัต (Rabat) อดีตเป็นเมืองหลวง และทำเนียบทูตานุทูตจากต่างแดน เป็นเมืองสีขาวที่สะอาดสวยงาม และเป็นที่หมายตาของนักท่องเที่ยว

อีกเมืองที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือ เมืองเมคเนส (Meknes) เมืองแห่งนี้เคยเป็นเมืองหลวงในสมัยสุลต่านมูเล อิสมาอิล แห่งราชวงศ์อะลาวิท กษัตริย์จอมโหดผู้ชื่นชอบการทำสงครามในศตวรรษที่ 17
ด้วยทำเลที่ตั้งที่มีแม่น้ำไหลผ่านกลางเมือง เมคเนส จึงเป็นเมืองศูนย์กลางการผลิตมะกอก ไวน์ และพืชพรรณต่างๆ มีกำแพงเมืองล้อมรอบเมืองเก่าที่มีความยาวประมาณ 40 กิโลเมตร และมีกำแพงใหญ่โตถึง 7 ประตู มาถึงเมืองนี้ควรหาโอกาสไปถ่ายรูปกับประตูบับ มานซูร์ ที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุด มีความสูง 16 เมตรกว้าง 8 เมตร ตกแต่งด้วยโมเสค และกระเบื้องสีเขียวบนผนังสีแสด และแวะชม สุสานมูเล อิสมาอิล ภายในกำแพง