รับลมหนาวแบบหวานๆ ริมทะเลหัวหิน ที่มากล้นด้วยมนตร์เสน่ห์แห่งศิลปะสไตล์โมร็อกโก รวมทั้งเสน่ห์ชวนฝันของเทพนิยายอาหรับราตรี ณ มาราเกช หัวหิน รีสอร์ท แอนด์ สปา

เมื่อผืนทรายละเอียดและน้ำทะเลสีครามมาบรรจบกับความงามอันหรูหราของสถาปัตยกรรมสไตล์นีโอโมร็อกกัน (Neo-Moroccan) ผลลัพธ์จึงเป็นความลงตัวของรีสอร์ตสุดโรแมนติกริมทะเลหัวหิน ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากสีสันแห่งดินแดนโมร็อกโกอันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวด้านศิลปะ ที่พร้อมจะทำให้ประสบการณ์การเข้าเช็กอินริมทะเลหัวหินนั้นเปลี่ยนไป

ผู้ที่มาเยือน “มาราเกช หัวหิน รีสอร์ท แอนด์ สปา” จะได้สัมผัสบรรยากาศสุดพิเศษราวกับหลุดเข้าไปในโอเอซิสกลางทะเลทราย ซุ้มประตูสู่ล็อบบี้สีส้มอิฐตั้งสูงตระหง่านงดงามราวปราสาทในโมร็อกโก ไม่ว่าหันมองมุมไหนก็สามารถสัมผัสได้กับกลิ่นอายโมร็อคโกที่ผสานกับความร่วมสมัยได้อย่างลงตัว ทั้งตะเกียง หมอน ผ้าทอพื้นเมือง แจกัน ชุดเครื่องทองเหลือง กระเบื้องหลากสีสัน รวมทั้งน้ำพุแห่งดวงดาวที่เป็นสิ่งที่จะขาดไม่ได้ในวิลล่าหรูของโมร็อกโกAdvertisement

ห้องพักทั้ง 4 แบบนั้นผสมผสานระหว่างความโมเดิร์นและกลิ่นอายของดินแดนแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่ถูกแต่งแต้มด้วยสีสันสะดุดตา ไม่ว่าจะเป็นสีส้มอิฐ และโทนสีน้ำเงิน ตัดกับกระเบื้องโมเสกที่ถอดแบบลวดลายมาจากโมร็อกโกอย่างไม่ผิดเพี้ยน โดยห้องจากุซซี่ สวีท มีจากุชชี่เอาท์ดอร์ขนาดใหญ่พิเศษให้คู่รักได้สวีตหวานอยู่ด้านตรงระเบียง

ห้องฟาวน์เทน พูล สวีท มาพร้อมสระน้ำสำหรับผ่อนคลายแบบเป็นส่วนตัวนอกระเบียงห้องพัก ด้านห้องโอเชี่ยน ฟรอนท์ สวีท สามารถชื่นชมความงามของผืนน้ำทะเลและเส้นขอบฟ้าได้แบบ 180 องศา พร้อมอ่างจากุชซี่ขนาดใหญ่พิเศษ เลือกได้ทั้งแบบข้างเตียงและริมระเบียง ส่วนห้องเซเลสเทียล สวีท เหมาะสำหรับคู่รักที่ต้องการเพิ่มความหวานแบบเต็มพิกัด บนสวนดาดฟ้าส่วนตัวที่สามารถชมวิวสวยของทะเล หาดทราย และแสงธรรมชาติสวยๆ ได้ทุกเวลา ทั้งยังควงแขนคนรักมานอนนับดาวกันทั้งคืนก็ยังได้

นอกจากห้องพักและสวนปาล์มที่ถอดแบบความงามมาจากโมร็อกโกได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน สเตชั่นถัดไปที่จะพลาดไม่ได้คือห้องอาหาร “อัล ฮัมรา” ที่นำเสนอความอร่อยของสไตล์โมร็อกโกและสไตล์เมดิเตอเรเนียนฟิวชั่น ส่วน “อัล บาห์” บาร์ริมชายหาดเหมาะสำหรับนอนจิบค็อกเทลปลดปล่อยความชิลเป็นที่สุด เพราะมีค็อกเทลซิกเนเจอร์ให้ลิ้มลองถึง 10 เมนู และสำหรับคู่รักห้ามพลาดอาฟเตอร์นูนทีสไตล์โมร็อกโก หรือดินเนอร์ที่สามารถจัดพิเศษใต้กระโจมสีขาวริมทะเลได้อลังการราวกับอยู่ในดินแดนอาหรับราตรี

หากใครกำลังแพลนหาสถานที่พักผ่อนริมทะเลแบบเก๋ไก๋ไม่ซ้ำใครในช่วงวันหยุด หรืออยากควงแขนว่าที่เจ้าบ่าวมาเซอร์เวย์สถานที่ถ่ายพรีเวดดิ้งในราคาสบายกระเป๋า รับรองว่าที่นี่ต้องเป็นคำตอบของคุณแน่นอน

มาราเกช (Marrakech) มนต์สเน่ห์แห่งโมร็อกโก

มาราเกช (Marrakech) มนต์สเน่ห์แห่งโมร็อกโก

มาราเกช (Marrakech) อีกหนึ่งเมืองท่องเที่ยวสำคัญของประเทศโมร็อกโก อยู่ตรงเชิงเขาแอตลาส

เมื่อก่อนเมืองโอเอซิสแห่งนี้เป็นที่พักของกองคาราวานอูฐที่มาจากทางตอนใต้ของโมร็อกโก

อาคารบ้านเรือนของที่นี่ก็เป็นสีส้มออกชมพู พาสเทลสุดๆ คนท้องถิ่นจะเรียกว่า Pink City

ปัจจุบันถือเป็นอีกหนึ่งเมืองที่คับคั่งที่สุดในทวีปแอฟริกา คือเป็นทั้งเมืองศูนย์กลางการค้า และจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก

และเมืองนี้ยังได้สมญานามว่าเป็น A city of Drama อีกด้วย ก็คือมีความสวยงามเหมือนเมืองในละครนั่นเอง

เรียกได้ว่ามาราเกช โมรอคโค เป็นเมืองที่มีเสน่ห์ที่สุดในโลกแห่งหนึ่งเลยทีเดียว! ต้องหาโอกาสมาเที่ยวสักครั้ง!

มาราเกช (Marrakech) มนต์สเน่ห์แห่งโมร็อกโก

เปิดแล้ว The Grand Morocc( เดอะ แกรนด์ โมร็อค) โรงแรมสวยบรรยากาศสไตล์โมร็อคโก

โรงแรมสวยย่าน แม่ริม The Grand Morocc( เดอะ แกรนด์ โมร็อค)  โรงแรมบรรยากาศสไตล์โมร็อคโก สวยแบบไม่เหมือนใคร

เชียงใหม่-วันที่ 15 มกราคา 2560 ที่ผ่านมา ณ The Grand Morocc( เดอะ แกรนด์ โมร็อค) คุณพิพิธ พิพิธโภคาและคุณ เพียงหนึ่ง โรจนกุลพินิช เจ้าของกิจการ  โรงแรมสวยย่าน แม่ริม The Grand Morocc( เดอะ แกรนด์ โมร็อค  ) ได้จัดงานเปิดตัวโรงแรมอย่างเป็นทางการ   โดยมีแขกผู้เกียรติและสื่อมวลชนร่วมในงานเป็นจำนวนมาก

The Grand Morocc( เดอะ แกรนด์ โมร็อค)  เข้าใจความหลากหลายของแขกผู้เข้าพัก จึงตอบสนองความต้องการของผู้พักได้อย่างเต็มที่ เพื่อให้วันหยุดของคุณเป็นวันพิเศษ ให้คุณจะรู้สึกผ่อนคลายเหมือนอยู่บ้าน พร้อมกับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากพนักงาน ที่ยินดีให้บริการแบบ

เย็นของคุณ ให้เต็มอยู่ตลอดเวลา

เดอะ แกรนด์ โมร็อค ตั้งอยู่นอกเมืองเชียงใหม่ บริเวณเชิงดอยสุเทพ-ปุย ในแม่สาวัลเล่ย์ อ.แม่ริม สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติและแบบผจญภัย ซึ่งใช้เวลาเดินทางจากสนามบินนานาชาติเชียงใหม่เพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น

เดอะ แกรนด์ โมร็อค มีสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ ใจกลางโรงแรม ซึ่งล้อมรอบไปด้วยห้องพักที่ได้รับการออกแบบตกแต่งไม่ซ้ำแบบกัน   ห้องพักประกอบไปด้วยห้องนอน ห้องอาบน้ำพร้อมฝักบัว รวมทั้งห้องนั่งเล่น เฟอร์นิเจอร์สะดวกสบาย อีกทั้งยังมีห้องครัวที่คุณสามารถประกอบอาหารเองได้ ทางโรงแรมมีบริการจัดหาของเพิ่มเติมในตู้

เดอะ แกรนด์ โมร็อค เป็นโรงแรมที่มีสถาปัตยกรรมแบบโมร็อกโกเหมาะกับบรรยากาศในเขตร้อน พร้อมกับแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์ จึงเกิดเป็นโอเอซิสในใจกลางแม่สาวัลเล่ย์แห่งนี้

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ และสำรองห้องพักได้ที่ที่อยู่:

เดอะ แกรนด์ โมร็อค   596/2 ม. 1 ต.ริมใต้ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ 50180
โทร. +66 (0)53 299 835 . +66 (0)53 299 834

เปิดแล้ว The Grand Morocc( เดอะ แกรนด์ โมร็อค) โรงแรมสวยบรรยากาศสไตล์โมร็อคโก

รีวิวโมร็อคโค พาเที่ยวเมืองเก๋ ขี่อูฐนอนค้างในทะเลทรายซาฮาร่า สัมผัสความแตกต่างที่น่าหลงไหล

คำนิยามสั้นๆของโมร็อคโคสำหรับเราคือ “ ดี ดีมาก ดีที่สุด ” ด้วยความที่เราหลงใหลความแปลกใหม่ วัฒนธรรมที่ไม่ใช่เอเชียและยุโรป รวมทั้งหนึ่งในความฝันของเราคือการไปเยือนทะเลทรายซาฮาร่า รีวิวนี้จะพาเพื่อนบินไปพร้อมกันไปสัมผัส The land of contrast ด้วยกันกับเรา

เราเชื่อว่าทุกคนรู้จัก ทะเลทรายซาฮาร่า ได้ยินมาแต่เด็กน้อย แต่ประเทศ “โมร็อคโค” สำหรับเราไม่เคยอยู่ในหัวจนมีเพื่อนฟิลิปปินส์ที่เดินทางมารอบโลกบอกเราว่า “เป็นประเทศที่เค้าชอบที่สุด” เราก็จำฝังหัวเอาไว้ว่ามันใช่ ทันทีที่ได้รับสายคำชวนจาก AIS Serenade ชวนเราไปโมร็อคโคกับ Serenade Exclusive Trip เราตอบตกลงทันทีแบบไม่ต้องคิด

ข้อมูลเบื้องต้นที่ควรรู้ก่อนไปโมร็อคโค
•    โมร็อคโค อยู่ในทวีปแอฟริกาเหนือ อยู่ติดกับประเทศสเปนเพียงแค่ทะเลกั้น
•    คนไทยต้องทำวีซ่า มีสถานทูตในไทยสามารถจ้างคนไปยื่นได้ไม่ต้องไปด้วยตัวเอง
•    ใช้สกุลเงินของตัวเอง Dirham ให้แลกเงิน Euro หรือ USD ไปค่อยไปแลกที่โน้น
•    อากาศค่อนข้างแห้งแล้ง ฤดูกาลของเดือนใกล้เคียงยุโรป ( ก็มันติดกัน… )
•    เวลาห่างจากไทย 7 ชั่วโมง ( GMT+0 )
•    เป็นประเทศมุสลิม ดังนั้นการแต่งกายควรสุภาพแต่ไม่ถึงขนาดต้องคลุมผ้า
•    AIS Data Roaming ผมใช้งานได้ดีตลอดทริป มีสัญญาณหายเฉพาะตอนเข้าไปทะเลทรายลึกๆ
•    อาหารค่อนข้างเป็นไปทางแขก แนะนำให้เตรียมอาหารไทยไปให้พร้อม

DAY 1 : Bangkok – Doha – Casablanca – Marrakech

เริ่มต้นความพิเศษตั้งแต่ก้าวออกจากบ้าน! รอบนี้ไม่ง้อแท็กซี่เพราะเค้าส่งรถลิมูซีนมารับถึงบ้านกันทุกคน โอ้โห! นั่งสวยๆหล่อๆกันไปถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ก็เดินไปหาเจ้าหน้าที่ตามที่นัดแนะ พอลากกระเป๋ามาถึงพนักงานก็แบบจัดแจงทุกอย่างให้เสร็จสรรพ! มีหน้าที่แค่เดินไปแสดงตัวว่าอันนี้กระเป๋าตัวเองที่จะโหลดไปแค่นั้นล่ะ

สำหรับทริปนี้เราเดินทางด้วยสายการบิน Qatar Airways นะซึ่งแน่นอนว่าต้องไป Stop over กันที่ Doha เล็กน้อยจากนั้นบินต่อไปลงที่เมืองหลักเค้าคือ Casablanca และนั่งอยู่บนเครื่องเดิมนั่นแหละไม่ต้องลง แล้วก็บินอีกครั้งสู่เมือง Marrakech เมืองท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของโมร็อคโค กัน สิริเวลาตั้งแต่ออกจากไทยจนถึงปลายทางก็ไม่นานเลยครับ 21 ชั่วโมง !!!!!!!!!!!! คุณพระบินอะไรกันข้ามคืนข้ามวันขนาดนั้น

DAY 2 : Marrakech

หลังจากการบินอันหนักหน่วงเรามาถึงมาราเกรซกันตอนเย็นๆแล้วครับดังนั้นวันนี้ก็เลยไม่มีอะไรมากเข้าพักที่โรงแรม Mövenpick Hotel Mansour Eddahbi Marrakech ซึ่งโรงแรมที่ทาง  AIS Serenade เลือกก็จะเป็นสไตล์โมร็อคโคหน่อยๆให้เราได้เข้าถึงกันมากขึ้น

ส่วนของโรงแรมก็สวยงาม มีอุปกรณ์ครบครัน ห้องดี สมชื่อโรงแรม Mövenpick นะครับ และความ surprise แรกก็เกิดขึ้นเมื่อผมเข้าห้องนอนก็เจอกล่อง AIS Serenade วางไว้บนเตียงที่ทำให้การท่องเที่ยวสะดวกขึ้นคือพวก Universal adapter พร้อมแท่นชาร์จ USB อีกชุด  (ซึงแต่ละวันนี่มีของมา surprise กันทุกวันเลย ประทับใจมาก )

Day 3 :  Marrakech

ทานเข้าเช้าที่โรงแรมแล้ววันนี้เราจะเที่ยวตัวเมือง Marrakech กันที่ได้ชื่อว่าเป็นนครสีชมพู เมืองท่องเที่ยวที่ดังที่สุดของโมร็อคโค เป็นที่ๆรวมความเก๋ เท่ห์ ชิค และลวดลายศิลปะที่ดังไปทั่วโลก  มาราเกรซนี่ถือว่าเจริญมากๆเลยนะ มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยคล้ายๆยุโรปเลยแต่ก็มีเอกลักษณ์ที่ชัดเจนในความเป็นโมร็อคโค และจุดแรก Landmark ที่ทุกคนต้องไปเยือนคือ มัสยิดคูโทเบีย ( Koutoubia Mosque ) มัสยิดเก่าแก่ที่มีหอคอยสูงเด่นที่นี่ได้รับการยอมรับว่าเป็น “อนุสรณ์มุสลิมที่สมบูรณ์ที่สุดในแอฟริกาเหนือ” และเป็นต้นแบบของมัสยิดทั้งโมร็อคโคอีกด้วยครับ

จากนั้นเราไปต่อที่ พระราชวังบาเฮีย Bahia Palace พระราชวังของมหาอำมาตย์ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแทนยุวกษัตริย์ในอดีต สร้างขึ้นตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 เค้าตั้งใจให้เป็นพระราชวังที่ยิ่งใหญ่และหรูหราในสมัยนั้น ภายในก็จะตกแต่งด้วยปูนปั้นแกะสลักและการวาดลวดลายบนไม้ รวมทั้งประดับประดาด้วยโมเสกที่มีลวดลายสวยงาม  ซึ่งผมว่าที่นี่จะศิลปะคล้ายๆสเปนตอนใต้ที่ผมไปมาเลยครับ ( ก็สเปนใต้ก็ติดกับโมร็อคโคเลย )

และเนื่องจากอาหารโมร็อคโคก็จะทานยาก(มาก) จะเป็นแนวอาหารแขกน่ะครับซึ่งทาง AIS Serenade ก็ไปสรรหาร้านอาหารไทยมาให้เราจนได้ ก็เลยได้กินอาหารไทย โดยเชฟคนไทย ได้อิ่มอร่อยเติมพลังกัน

สัมผัสโมร็อคโคสไตล์ ที่ Villa Maroc Resort

สัมผัสโมร็อคโคสไตล์  ที่ Villa Maroc Resort

วันนี้มีอีกหนึ่งที่พักมาแนะนำกัน

จริงๆ ที่นี่ไม่ได้เป็นโรงแรมใหม่พึ่งเปิดหรอก  แต่เป็นโรงแรมที่นุ้ยชอบมาก

นุ้ยชอบที่พักริมทะเล นุ้ยชอบที่พักที่มีดีไซน์เก๋ๆ ไม่ซ้ำใคร

โรงแรมนี้ชื่อว่า Villa Maroc  เป็นโรงแรมที่ตั้งอยู่ริมทะเลปราณบุรี  ห่างจากรุงเทพเพียงไม่กี่ชั่วโมง

และที่สำคัญ Villa Maroc เป็นโรงแรมที่ดีไซน์สไตล์มาร็อคโค

ให้ความรู้สึกเหมือนเรากำลังอยู่ในดินแดนที่แตกต่าง …

เพราะฉะนั้น เพื่อนไม่ควรพลาดที่จะอ่านรีวิวนี้ให้จบ

มาสัมผัสโมร็อคโคไปพร้อมๆ กัน ว่าเป็นยังไง

นุ้ยจะไม่พูดพร่ำทำเพลงให้เยอะแยะมากมายน๊า

เพราะนุ้ยจะพาทุกคนไปสัมผัสทุกซอกทุกมุม เท่าที่จะทำได้

นุ้ยใช้เวลาขับรถจากกรุงเทพแค่ประมาณ 3 ชม.นิด แต่เหมือนเจอโลกอีกใบ

มาถึงที่วิลล่ามาร็อค ตอนประมาณ บ่ายโมงกว่าๆ

จุดแรกที่เราได้เจอคือล็อบบี้   จะเป็นห้องโล่งๆ เพดานสูงมาก เป็นห้องแบบโอเพ่นแอร์

แต่กลับแปลกที่ไม่ร้อนเลยสักนิด

ทางเดินไปห้องพัก เป็นทางเดินยาวๆ  เป็นเหมือนซุ้มประตู

ซึ่งบริเวณนี้จะเป็นทางผ่านสระว่ายน้ำ และทางเดินลงหน้าด้วย

ตลอดทางที่เดินไปห้อง  นุ้ยตื่นเต้นกับทุกมุม  กวาดสายตาไปทั่ว ๆ

จดบันทึกไว้ในสมอง .. ฉันต้องมาถ่ายมุมนี้  มุนนี้ก็ห้ามพลาด

ผ่านสระว่ายน้ำมา เราจะเข้าสู่โซนที่พักกันจริงๆ แล้ว

ที่นี้จะมีห้องทั้งหมด 6 แบบ รวม 15 ห้อง

แบบแรก เป็นแบบเริ่มต้น ชื่อว่า พูลคอร์ท 

แบบที่สอง แบบพูลวิลล่า 

แบบที่สาม  วิลล่า 1  ห้องนอน

แบบที่สี่ วิลล่า 2  ห้องนอน

แบบที่ห้า โรยัล วิลล่า 1 ห้องนอน

แบบที่หก โรยัล วิลล่า 2 ห้องนอน

สัมผัสโมร็อคโคสไตล์ ที่ Villa Maroc Resort

ท่องเที่ยว ที่พักโรงแรมในโมร็อคโก

แบกเป้เที่ยวโมร็อกโก 2 อาทิตย์ ไปไหนบ้าง

มีเพื่อนๆ ถามกันมาเยอะว่า ไปโมร็อกโกเป็นไงบ้าง เดินทางสะดวกไหม อันตรายหรือเปล่า มีอะไรชี้แนะบ้าง? โพสนี้ ผมเลยอยากเขียนเน้นเนื้อหา เล่าถึงประสบการณ์ และโลจิสติกส์ของการเดินทางเป็นหลัก

ก่อนอื่นต้องขอย้ำว่า ผมเดินทางกับเด็กอายุ 3 ขวบ อะไรที่ผาดโผนมากคงไม่มีเขียนรีวิวในนี้นะครับ รอบนี้เน้นพักแบบไม่ลำบากมากนัก แต่การเดินทางยังอิงแนวผจญภัย ลุยๆ เหมือนเดิม ผมไปช่วงเดือนมีนาคม ตรงกับฤดูใบไม้ผลิที่นั่นพอดี อากาศกำลังดีไม่ร้อนไม่หนาวจนเกินไป แต่เจอพายุทรายเป็นบางช่วงตอนขี่อูฐข้ามทะเลทราย

แผนที่การเดินทาง เริ่มต้นที่ Marrakesh จบที่ Casablanca

แผนการเที่ยวโดยสังเขป: สำหรับทริปนี้ เราเริ่มต้นที่กรุง Marrakesh และจบที่ Casablanca — 4 วันแรก เราเที่ยวอยู่ในกรุง Marrakesh วันที่ 5 เช่ารถขับออกจากเมือง ข้ามเทือกเขา Atlas Mountains ไปยังเมือง Merzouga เพื่อขี่อูฐไปนอนค้างคืนในทะเลทราย หลังจากนั้นก็ขับต่อไปยังเมือง Fes ซึ่งเราค้างอยู่ที่นั่น 3 คืน.. จาก Fes เราเหมารถไปเที่ยว Meknes, Volubilis และ Chefchauoen ก่อนที่จะนั่งรถไฟต่อไปยัง Rabat และก็ Casablanca

Day 1: Getting to Marrakesh

เราบินออกจาก Miami ไปยังกรุง Marrakesh โดยสายการบิน TAP Portugal ใช้เวลาในการเดินทางทั้งหมด 15 ชม. (บนเครื่อง 10 ชม. + หยุดต่อเครื่องที่กรุง Lisbon ประเทศโปรตุเกส 5 ชม.) ถึงกรุง Marrakesh ตอนประมาณเที่ยงวันพอดี ก่อนออกจากสนามบิน เราหยุดแลกเงินนิดนึง ให้มีพอสำหรับจ่ายค่านั่งแท็คซี่เข้าเมืองและซื้อของกินเล่นเล็กน้อย

เราพักอยู่ที่ Dixneuf La Ksour (Riad 19) ซึ่งเป็นบ้านพักเล็กๆ ตั้งอยู่ในใจกลางเมืองเก่า หรือที่เรียกกันว่า “เมดิน่า” เหตุผลที่เลือกพักที่นี่ ก็เพราะ สถานที่ตั้งที่อยู่เยื้องจาก จัตุรัส เจมา เอล ฟนา (Jemaa el-Fnaa Square) ไปแค่ไม่กี่นาที ถ้าจะออกมาเดินเที่ยว หรือมาหาอะไรกินที่จัตุรัสตอนกลางคืน ก็จะง่ายและสะดวกมาก

ออกมาเดิน จัตุรัส เจมา เอล ฟนา ตอนหัวค่ำ

สำหรับคนที่จะพัก riad ในเมดิน่า ให้เช็คกับทาง riad ก่อนนะครับว่ารถเข้าไปถึงไหม เพราะตรอกซอยในเมดิน่าค่อนข้างเล็ก ถ้าแท็คซี่เข้าไม่ถึง เขาจะจอดให้ลงหน้าปากซอย แล้วเราต้องเดินแบกกระเป๋าเข้าซอยไปหาโรงแรมเอง ถ้าใครมีสัมภาระเยอะ แนะนำจ้างคนที่มีรถเข็น (จะมียืนรอกันอยู่ตามที่จอดรถ) ให้ช่วยเข็นกระเป๋าตามเราไปถึงที่พักได้

พอเช็กอินเข้าโรงแรมเรียบร้อย เราก็ออกมาเดินหาซื้อซิมมือถือ และแลกเงินเดอร์แฮม — สำหรับซิมมือถือ แนะนำแบบ pre-paid ของเครือข่าย Moroc Telecom ราคาไม่แพง สัญญาณดี ใช้ได้ทั่วประเทศ

Day 2-4: Marrakesh

เมือง Marrakesh แบ่งเป็น 2 เขตใหญ่ๆ ด้วยกัน: [ 1 ] เขตเมืองเก่า หรือ “เมดิน่า” ในนั้นจะเป็นตรอกซอยทางเดินเล็กๆ ตัดไปตัดมา ล้อมไปด้วยกำแพงสีแดงที่สูงประมาณตึกแถว 2-3 ชั้นได้ ข้างทางเดินก็จะมีร้านค้าเล็กๆ ขายของนู่นนี้เป็นช่วงๆ ส่วนสถานที่เที่ยว ไม่ต้องห่วงเลย มีเยอะมาก: 1. Jemaa el-Fnaa Square, 2. Ben Youssef Medersa, 3. Bahia Palace, 4. Koutoubia Mosque, 5. Saadian Tombs, 6. Bab Agnaou, และก็มี ซุ๊กส์ (souks) หรือตลาด ที่ตั้งอยู่รอบๆ จัตุรัส เจมา เอล ฟนา ตั้งขายของกันเป็นโซนๆ ไป  [ 2 ] เขตเมืองใหม่ เขตนี้มีตึกราบ้านช่องที่ค่อนข้างจะทันสมัย มีโรงแรมหรูหราใหญ่โตมากมาย สถานที่เที่ยวที่ไม่ควรพลาด ก็คือ Majorelle Garden ตกเย็นก็เดินเล่นย่าน Gueliz (อยู่ติดกับ Majorelle Garden) มีร้านอาหารอร่อยๆ มากมาย

เนื่องจากเราพักกันอยู่ในเมดิน่า เลยอาศัยการเดินเท้าเที่ยวเป็นซะส่วนใหญ่ เวลาเดินต้องระวังมอเตอร์ไซต์ที่ขับสวนไปมากันมากหน่อย เดินชิดขวาไว้ดีที่สุด… เวลาจะออกไปเที่ยวนอกกำแพงเมืองเก่า เรามักจะเรียกแท็คซี่ หรือไม่ก็จ้างรถม้า ซึ่งส่วนใหญ่จะจอดรอลูกค้าอยู่หน้าจัตุรัส เจมา เอล ฟนา — ควรต่อราคา และตกลงค่าบริการให้เรียบร้อยก่อนขึ้นรถนะครับ〉ข้อมูลเพิ่มเติม: เดินตะลุยย่านเมืองเก่ามาราเกช

ลานจอดรถ: เนื่องจากรถไม่สามารถขับเข้าตามตรอกเล็กๆ ได้ จึงมีลานจอดรถอยู่กระจักกระจายตามจุดต่างๆ รอบเมือง ถ้าจะเรียกแท็กซี่นั่งออกไปไหน ก็ให้จำชื่อลานจอดรถด้วยนะครับ ขากลับจะได้บอกให้แท็กซี่มาส่งถูกที่

รถม้า: รถม้าส่วนใหญ่จะจ้องรอรับนักท่องเที่ยวอย่างเดียว เพราะคนท้องถิ่นไม่นั่งกัน ส่วนใหญ่จะจอดรอลูกค้ากันอยู่หน้าลาน Jemaa el-Fnaa Square ก่อนขึ้นควรต่อราคาและตกลงทุกอย่างให้เรียบร้อยกันก่อนช้อปปิ้ง: เห็นอะไรที่ชอบ แนะนำให้ซื้อเลย เพราะที่ Marrakesh มีของขายเยอะสุดแล้ว แค่ต้องต่อราคาหน่อยเท่านั้นเอง อย่าหวังไปซื้อที่ Fes หรือเมืองอื่น เพราะของมีให้เลือกน้อยกว่าที่ Marrakesh มาก

เดินเล่นตอนกลางคืนในมาดิน่า อันตรายไหม? ถ้าพักอยู่แถว Jemaa el-Fnaa Square อย่างเรา ออกมาเดินตอนกลางคืนไม่น่ากลัวครับ เพราะมีนักท่องเที่ยวและผู้คนเดินกันเยอะพอสมควร แต่จะเริ่มโหลงเหลงหลังเที่ยงคืน หลังจากเที่ยงคืนไม่ควรเสี่ยง

Day 5: High Atlas Mountains

วันนี้ผมออกไปเอารถเช่าแต่เช้า แล้วขับรถพาครอบครัวออกจากกรุง Marrakesh มุ่งหน้าไปยังเทือกเขา Atlas Mountains ตามถนนเส้น N9 — สภาพถนนเส้นนี้ค่อนข้างดี เป็นถนนลาดยางตลอดสาย ตอนขับขึ้นเทือกเขา Atlas Mountains เส้นทางไม่ชันมาก แต่คดเคี้ยวพอสมควร ใครเมารถเตรียมยาดมได้เลย ระหว่างทางจะเห็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่สร้างเกาะอยู่ตามหุบเขา ทิวทัศน์สวยมากเลยทีเดียวขับออกมาจากเมืองมาประมาณ 2 ชม. ก็จะมีที่จอดพักให้เข้าห้องน้ำ เป็นอาคารเล็กๆ ตั้งอยู่บนสันเขา เราจอดลงมาเดินยืดเส้นยืดสายกัน จุดนี้ชื่อ Tizi Aït Barka (พิกัด: 31.490019, -7.438739) มีร้านกาแฟ ขายอาหาร มีห้องน้ำ และสามารถขึ้นไปนั่งจิบชากาแฟดูวิวอยู่บนดาดฟ้าของตัวอาคารได้ ช่วงที่ผมไปมีคนหยุดเยอะพอสมควร ไม่น่ากลัวครับหลังจากหยุดพักกันแล้ว ขับต่อไปอีก 1-2 ชม. ก็ถึงเมือง Aït Benhaddou ซึ่งเป็นเมืองเก่าที่ทางองค์การ UNESCO ยกให้เป็นมรดกโลก ถ้าขับมาทางนี้แล้ว พลาดไม่ได้เลยทีเดียว

เราจอดนั่งทานอาหารเที่ยงกันก่อน ที่ร้าน Auberge Bilal เป็นร้านอาหารท้องถิ่นและโฮสเทลเล็กๆ ตั้งอยูไม่ไกลจาก Aït Benhaddou มากนัก พอทานเที่ยงกันเสร็จ เดินข้ามคลองเล็กๆ ไปไม่กี่เมตรก็ถึงทางเข้า — ให้เวลาตัวเองเดินเที่ยวถ่ายรูปใน Aït Benhaddou 1 ชม.

ยืนอยู่บนยอด Aït Benhaddou มองกลับไปที่ร้านอาหารและคลองเล็กๆ ที่เดินข้ามมา

ขับต่อมาอีกหน่อยก็เป็นเมือง Quarzazate ซึ่งตั้งอยู่ทางตัดของเส้น N9 กับ N10 เราเลี้ยวซ้ายเข้าเส้น N10 แล้ววิ่งต่อไปอีกประมาณ 2-3 ชม. ก็จะถึงโรงแรมที่จองไว้ Hôtel Xaluca Dades — ที่ดูๆ เป็นโรงแรมที่ดีสุดแล้วในละแวกนี้ มีแอร์ มีห้องน้ำส่วนตัว มีอาหารเช้าให้อย่างดี แถมยังอยู่ติดกับทางขึ้น Dadès Gorges อีกด้วย เช้าวันรุ่งขึ้นสามารถขับขึ้นไปเที่ยว Dadès Gorges ได้เลย

สถานที่เที่ยวบนถนนเส้น N10: 1. Ouarzazate (ที่ตั้งของ Taourirt Kasbah, Cinema Museum และ Atlas Film Sudios มีฉากหนังดังๆ ที่สามารถเข้าไปดูไปถ่ายรูปได้), 2. Skoura (เมืองกลางทะเลทรายที่เต็มไปด้วยต้นปาล์ม เป็นที่ตั้งของ Ben Morro Kasbah, Amerhidil Kashab, และหมู่บ้าน Toundout),  3. Boumalne du Dadès เป็นจุดหยุดชมวิวที่สวยมาก จะเห็นเป็นหุบเขาวิ่งตัดผ่านโอเอซิสเล็กๆ ที่อยู่เป็นหย่อมๆ ไปจนสุดขอบฟ้า

รถเช่า: ผมเช่ารถผ่านทาง Auto Europe (รับรถที่ Marrakesh คืนรถที่ Fes) เวลาจอดรถในเมืองจะมีคนเดินมาเก็บตังค์ค่าดูแลรถ อันนี้ปกติมากในโมร็อกโก ถ้าจอดไม่นาน เตรียมจ่ายประมาณ 10-20 Dh

Day 6: Erg Chebbi (Sahara)

หลังทานอาหารเช้าที่โรงแรมกันเรียบร้อย ก็เช็คเอ้าท์ แล้วขับขึ้น Dadès Gorges ก่อนเลย หลังจากนั้นก็ขับตรงไปยัง Todgha Gorge ซึ่งเราจอดรถลงมาเดินเล่นถ่ายรูปกัน — หุบเขา Todgha Gorge เป็นกำแพงหินที่ใหญ่โตและสวยงามมาก ระหว่างที่เราเดินเล่นกัน ก็มีเด็กๆ คอยวิ่งตาม ตื้อให้ซื้อของ ถ้าไม่เอาก็ตอบปฏิเสธไปสั้นๆ ว่า “No, Thank you.” ไม่ต้องยิ้ม ไม่ต้องชวนคุย

วันนี้ต้องทำเวลากันหน่อย เพราะนัดเค้าไว้ 4 โมงเย็น เพื่อจะขึ้นขี่อูฐไปยัง campsite กลางทะเลทรายที่เราจะไปนอนค้างกันคืนนี้ แค้มป์นี้ ชื่อ Caravanserai Luxury Desert Camp เต็นท์แต่ละหลังจะมีห้องน้ำส่วนตัวให้ เตียงใหญ่พอสำหรับ 3 คน พ่อ แม่ ลูก นอนด้วยกันอย่างสบายๆ มีอาหารเช้า อาหารเย็น และกิจกรรมรอบกองไฟ ทุกอย่างรวมอยู่ในค่าที่พักแล้วเรียบร้อย

ผมจองเต็นท์ผ่านทางเว็บ Booking.com แล้วอีเมล์ติดต่อเรื่องการขี่อูฐอีกที อย่าลืมคอนเฟร์มจุดนัดพบให้เรียบร้อยก่อนออกเดินทางนะครับ  ถ้าใครมีสัมภาระเยอะ สามารถแจ้งให้ทาง campsite เตรียมรถมาขนสัมภาระให้ได้… ส่วนรถเช่าที่ขับมา เราจอดทิ้งไว้ที่จุดนัดพบ ซึ่งของเราเป็นโฮสเทลเล็กๆ ชื่อ Auberge Akabar ตั้งอยู่ขอบเมือง Merzouga

พายุทราย: ช่วงที่ผมไป มีพายุทรายด้วย ถ้าใครจะเดินทางช่วงเดือน มีนา-เมษา แนะนำติดผ้าโพกหัวมาด้วย เผื่อเจอพายุทราย จะได้มีอะไรปิดหน้าไม่ให้ทรายเข้าหูเข้าตา

Day 7: Valley Gorge

จุดหมายปลายทางของวันนี้คือ เมืองเฟส (Fes) ซึ่งพอถึงแล้วต้องเอารถเช่าไปคืน — วันนี้เราออกจาก campsite สายหน่อย เพราะลูกอยากเล่นทราย เส้นทางไม่มีอะไรมาก ขับเส้น N13 มุ่งขึ้นเหนือ ข้ามเทือกเขา Atlas Mountains ไปจนถึงเมือง Azrou แล้วเลี้ยวเข้าเส้น N8 ตามป้ายที่ชี้ไปเมือง Ifran ซึ่งไปทางเดียวกันกับเมือง Fes อยู่ห่างกันแค่ 1 ชั่วโมง

ระหว่างทางเราหยุดดู Ziz Valley Gorge ที่ร้าน Valée de Ziz (ร้านกาแฟเล็กๆ ข้างทาง มีห้องนำ้) แล้วหยุดทานเที่ยงที่ Hôtel Taddart ซึ่งเป็นโรงแรมข้างทาง ตั้งอยู่เนินราบบนเทือกเขา Atlas Mountains ณ เมือง Midelt

ก่อนถึง Fes เราหยุดพักเดินยืดเส้นยืดสายกันที่ Cèdre Gouraud Forest ซึ่งเป็นป่าสนใหญ่ มีลิงน้อยลิงใหญ่นั่งต้อนรับอยู่บนต้นสนมากมาย

กว่าจะถึง Fes ก็ปาไปเกือบ 1 ทุ่ม คืนนั้นหลังจากเอารถไปคืน เรานอนพัก 1 คืน ที่โรงแรม Fes Marriott Hotel Jnan Palace ซึ่งตั้งอยู่นอกเมดิน่า เหตุที่ยังไม่อยากเข้าไปพักอยู่ในเมดิน่าคืนนี้ ก็เพราะว่า พรุ่งนี้กะจะเดินทางไปเที่ยวเมือง Chefchaouen กันต่อ ในเมดิน่าค่อนข้างวุ่นวาย เข้าออกลำบาก

Day 8: Volubilis & Meknes

วันนี้ผมจ้างคนขับรถให้มารับที่โรงแรมแต่เช้า เพื่อขับพาเราไปเมือง Chefchaouen ถ้าขับตรงจาก Fes ใช้เวลาแค่ประมาณ 4 ชม. แต่ระหว่างทางเราลงเดินเที่ยวเมือง Meknes และ Volubilis แถมหยุดทานอาหารเที่ยงที่ Restaurant la Baraka ซึ่งเป็นร้านอาหารท้องถิ่นอยู่บนเขา ณ เมือง Moulay Idriss ปกติวิวจากร้านนี้จะสวยมาก แต่ช่วงที่เราไปมีเมฆหมอกเยอะไปหน่อย เลยไม่ค่อยเห็นอะไรมากนัก — การเดินทางที่ควรใช้เวลาแค่ 4 ชม. กลายเป็น 8 ชม. โดยปริยาย

เราเดินทางถึง Chefchaouen ตอนประมาณ 1 ทุ่มกว่าๆ เลยหาที่นอนค้างคืนกันก่อน เราพักที่ Riad Gharnata ซึ่งเป็นโฮสเทลเล็กๆ ตั้งอยู่ไม่ห่างจากใจกลางเมือง Chefchaouen มากนัก เรากะว่าพอเช้าขึ้น ก็จะเดินเที่ยวอยู่ในเมืองจนเที่ยง ทานเที่ยงเสร็จแล้วนั่งรถกลับ Fes ตอนบ่ายๆ

Day 9: Chefchaouen

ตอนเช้าเราเดินเที่ยวเมือง Chefchaouen หรือเป็นที่รู้จักกันว่า “เมืองสีฟ้าแห่งโมร็อกโก” จุดศูนย์กลางของเมืองคือ Place Uta el-Hamam เป็นลานกว้างที่เป็นจุดเชื่อมต่อสถานที่สำคัญต่างๆ รวมไปถึงตลาด ร้านค้า ร้านอาหาร โรงเรียน สุเหล่า และพิพิธพันธ์ต่างๆพอเดินกันจนเหนื่อย ก็ขึ้นไปนั่งพักผ่อน หาอะไรกินเล่น ชมวิวที่ร้าน Casa Aladin — ตัวร้านเป็นตึกแถวเล็กๆ แต่ด้านในมีหลายโต๊ะอยู่เหมือนกัน ชั้นดาดฟ้าวิวดีมาก แต่ถ้าใครหิวต้องการหาอาหารท้องถิ่นอร่อยๆ ร้านนี้คงไม่เหมาะครับ วิวดีจริง แต่อาหารไม่ค่อยเท่าไหร่ — หลังจากกินกันเรียบร้อยแล้ว เดินเล่นต่ออีกแปบนึง แล้วก็นั่งรถกลับ Fes

เราเดินทางถึงเมือง Fes ประมาณ 5 โมงเย็น แต่เนื่องจากโรงแรมที่จองรอบนี้ ตั้งอยู่ลึกในเมดิน่า รถเข้าไปไม่ถึง คนขับรถเลยจอดส่งหน้าทางเข้าประตูเมือง แล้วเราก็จ้างให้คนเข็นกระเป๋า ช่วยเดินเข็นกระเป๋าตามเราไปจนถึงโรงแรม

ตรอกซอยในเมดิน่าของ Fes แคบกว่าที่ Marrakesh เยอะพอสมควร ที่นี่ไม่ค่อยเห็นมอเตอร์ไซค์วิ่ง เพราะเมืองตั้งอยู่บนเขาและทางเดินเป็นขั้นบันได คนที่นี่ส่วนใหญ่จะใช้ลาเป็นพาหนะขนของกัน ฉนั้น เวลาเดินต้องระวังเหยียบขี้ลากันหน่อย

Day 10-11: Fes

เราให้เวลาตัวเอง 2 วันเต็มๆ เพื่อเดินเที่ยวเมือง Fes โรงแรมที่เราพัก ชื่อ Dar Bensouda — ที่นี่สมัยก่อนเคยเป็นบ้านพักของนักสวดชื่อดัง ปัจจุบันได้ถูกบูรณะปรับปรุงใหม่ให้เป็นโรงแรม และนับว่าเป็น riad ที่เก่าแก่ที่สุดในมาดีน่า

เฟส (Fes) เคยเป็นเมืองหลวงของโมร็อคโกมาก่อน และยังคงสภาพความเก่าแก่ไว้อย่างไม่เจือจาง ถ้าใครอยากเดินเที่ยวในเมดิน่าเอง ก็คว้าแผนที่จากโรงแรมติดมือมาด้วยนะครับ หวังพึ่ง Google Maps ในเมดินาไม่ได้เลย เพราะสัญญาณอ่อนมาก โรงแรมในนั้นส่วนใหญ่จะให้โทรศัพท์มือถือติดตัวไว้ เผื่อหลง หาทางกลับโรงแรมไม่ถูกจะได้โทรเรียกคนให้เดินมารับได้

Day 12: Rabat

หลังจากเที่ยวเมือง Fes เสร็จ เราก็นั่งรถไฟต่อไปยังกรุง Rabat ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชม. รถไฟที่นี่สะอาด นั่งสะบายดี พอถึงสถานี ก็แบกกระเป๋าเดินหารถแท๊คซี่นั่งไปโรงแรม รถแท๊คซี่หาไม่ยากครับ จอดรอลูกค้าอยู่หน้าสถานีกันเต็มเลย แต่ก่อนขึ้นรถควรตกลงราคาให้เรียบร้อยกันก่อน

Day 13: Casablanca

เราพักอยู่โรงแรม Four Seasons Hotel Casablanca ซึ่งอยู่ติดทะเล มีศูนย์การค้า ร้านอาหาร และฟู้ตคอร์ทใกล้ๆ หาของกินได้สะดวก หลังจากเที่ยวมัสยิด Hassan II Mosque กันเสร็จ เราก็กลับมาพักผ่อนที่โรงแรม เดินเล่นริมหาด พอตกเย็นก็ไปนั่งกินที่ฟู้ตคอร์ทในศูนย์การค้า แล้วก็กลับโรงแรมไปเก็บกระเป๋า เตรียมตัวเดินทางกลับบ้านพรุ่งนี้เช้า

Day 14: Leaving Morocco

วันนี้เราบินออกจากสนามบิน Casablanca แต่เช้ามืด ทางโรงแรมช่วยเรียกรถแท็กซี่มารับพาเราไปสนามบิน รอบนี้บินสายการบิน Air Canada จาก Casablanca ไปต่อเครื่องที่ Montreal ประเทศแคนนาดา แล้วต่อไปยัง Los Angeles, California.

รีวิวเต็ม Marrakesh Hua Hin Resort & Spa อยู่แค่หัวหิน ก็ได้กลิ่นโมร็อกโก

ถ้าจะกล่าวถึง ประเทศโมร็อกโก (Morocco) เราว่านี่คือหนึ่งใน Bucket List ของใครหลายๆ คน แค่จินตนาการว่าเรากับแฟนกำลังขี่อูฐไปตามทะเลทรายสวย ท่ามกลางบรรยากาศโรแมนติกของพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า นึกถึงความงามวิจิตรของสถาปัตยกรรมอาหรับ นึกถึงชีวิตพร่างพราวราวกับควีนในฮาเร็ม โอ๊ว!! นี่แหล่ะประสบการณ์พิเศษที่ใครๆ ก็อยากพบสักครั้งในชีวิต

บางคนอาจได้สัมผัสมาแล้ว แต่อีกหลายคนอาจยังไม่พร้อมจะไปถึง ไม่เป็นไร วันนี้เราจะชวนคุณไปกรุ่นกลิ่นโมร็อกโก (Morocco) กับรีสอร์ทสไตล์ Neo-Moroccan ริมชายหาดหัวหิน ที่ Marrakesh Hua Hin Resort & Spa (มาราเกซ หัวหิน รีสอร์ท แอนด์ สปา) กันครับผม!!

สำหรับคนทำงานประจำ การได้ปลีกตัวมาพักผ่อนชาร์จพลังสัก 1-2 วัน เป็นเรื่องดี และหัวหินก็เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมที่ไม่ไกลเกินจะขับรถ เมืองตากอากาศชายทะเลแห่งนี้พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวมาหลายสิบปีแล้ว นับวันก็ยิ่งมีที่พัก ที่เที่ยว รวมถึงร้านเก๋ๆ มากระตุ้นให้เราเปลี่ยนบรรยากาศอยู่เป็นประจำ

Marrakesh Hua Hin Resort & Spa ก็เป็นที่พักอีกแห่งนึงที่เราจะพาทุกคนมาสัมผัส บทความนี้จะบอกเล่าประสบการณ์การเข้าพักของเรากับยัยหมวย ตลอด 3 วัน 2 คืน ให้ทุกคนได้อ่านแบบตรงไป ตรงมา เราเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ให้เพื่อนๆ ได้รู้จักรีสอร์ทแห่งนี้มากขึ้นแน่นอน

มารู้จักกับ Marrakesh Hua Hin Resort & Spa กันสักนิด

รีสอร์ทแห่งนี้ชื่อ Marrakesh ออกเสียงว่า “มาราเกช” เป็นชื่อตั้งตามชื่อเมืองท่องเที่ยวริมทะเลในประเทศโมร๊อกโก (Morocco) เมืองที่ได้ฉายาว่า “City of Red” หนึ่งในเมืองสีสันสดใส ที่สร้างจากดินสีแดง รีสอร์ทแห่งนี้จึงใช้เอกลักษณ์ดังกล่าวมาผสมผสานการออกแบบสไตล์ Neo-Moroccan เกิดเป็นโรงแรมที่ให้ทั้งความหรูหรา ทันสมัย สีสันสดใส และเต็มไปด้วย

ใครที่ชอบงานดีเทลสไตล์อาหรับคงจะหลงรักที่นี่ได้ไม่ยากครับ ยิ่งถ้าเป็นคนชอบถ่ายภาพ (และชอบถูกถ่ายภาพ) ก็คงจะยิ่งว๊าวแน่นอน ที่นี่มุมถ่ายรูปเยอะไปหมด!!

แค่โถง Lobby ก็วิจิตรอลังการแล้ว

ที่ตั้งของรีสอร์ทนั้นอยู่ในโซนตัวเมืองหัวหิน ไม่ไกลจากเขาตะเกียบและตลาด Cicada ตั้งอยู่ระหว่างซอยหัวหิน 83/1 กับซอยหิวหิน 85 จะไปเที่ยวทานอาหารทะเลแถวเขาตะเกียบก็สบาย หรือจะไปเดินเล่นตลาดฉัตรชัยก็ไม่ไกลครับผม

ห้องพักสไตล์ Neo-Moroccan

พอบอกว่ารีสอร์ทนี้เป็นสไตล์ Neo-Moroccan ดีไซน์ของห้องเลยเปิดกว้างที่จะผสานเอกลักษณ์แบบอาหรับเข้ากับสไตล์ใหม่ๆ ได้เยอะไปหมด เราชอบความกล้าในการออกแบบ และชอบที่เค้าจับมาผสมความเป็นโมร็อกโกได้อย่างลงตัว อาคารที่พักที่ Marrakesh มี 3 โซน แต่ละโซนก็คนละตึก แต่ละตึกตั้งชื่อได้เข้าธีมทะเลทรายมากๆ เช่น

  1. อูฐ หมายถึง ตัวแทนการเดินทาง
  2. กระโจม หมายถึง ที่พักอาศัย
  3. ต้นปาล์ม หมายถึง ปลายทางของโอเอซิส

สำหรับห้องพักนั้นมีทั้งหมด 7 แบบ และมี 2 โทนสี ได้แก่สีแดงและสีน้ำเงิน ตามความเชื่อของชาวอาหรับในเรื่องแสงแดดและท้องทะเล

  1. ห้องจากุซซี่ สวีท
  2. ห้องจากุซซี่ สวีท พูลวิว
  3. ห้องแฟมิลี่ สวีท
  4. ห้องฟาวน์เทน พูล สวีท
  5. ห้องโอเชี่ยน ฟรอนท์ สวีท
  6. ห้องเซลเลสเทียล สวีท (จากุซซี่ในห้องนอน)
  7. ห้องเซลเลสเทียล สวีท (จากุซซี่ริมระเบียง)

ห้องพักของเราคือห้อง “โอเชี่ยนฟรอนท์ สวีท (Ocean Front Suite)” ซึ่งมีระเบียงมองเห็นวิวทะเล 180 องศา ภายในตกแต่งด้วย 3 สีหลัก ได้แก่ สีน้ำเงิน, สีฟ้าและสีขาว ใส่ลูกเล่นซุ้มประตู, โคมไฟแขวน และของตกแต่งสไตล์อาหรับให้ความรู้สึกโปร่ง สงบ สบาย แต่แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายโมร็อกโก ในห้องมี Welcome Snacks และผลไม้ตามฤดูกาล

ห้อง Ocean Front Suite มีพื้นที่กว้างถึง 62 ตร.ม. มีจุดเด่น คือ

พื้นที่ห้องกว้าง 62 ตร.ม. มีอ่างจากุซซี่ในห้อง ที่ระเบียงเห็นวิวทะเล

มีโซฟาอยู่ปลายเตียงไว้นอนอ่านหนังสือ

หรือจะนั่งจิบเครื่องดื่ม ทานขนม ชมวิว ก็ชิลล์มาก

วิวระเบียงพาโนรามา มองเห็นได้ 180 องศา

วิวสระว่ายน้ำและวิวทะเล แจ่มมาก

Day Bed สไตล์อาหรับในห้องนอน เอาไว้นั่งชิลล์ก็ดี ไว้เป็นมุมถ่ายรูปก็เก๋

ภายในห้องน้ำทาผนังสีน้ำเงิน มีการแบ่งโซนแห้ง โซนเปียกไว้คนละด้าน

โคมตกแต่งสไตล์อาหรับ ช่วยสร้างบรรยากาศแบบ Moroccan

อ่างจากกุซซี่จะอยู่ริมด้านในของห้อง อ่างกว้างนั่งได้ 2 คนสบายๆ

ในห้องมี Bubble Bath ให้ 3 ก้อน 3 กลิ่น

ที่พักโรงแรมในโมร็อคโก ท่องเที่ยว

Ait Ben Haddou หมู่บ้านดินเอท เบนฮัดโด ที่ Morocco

เอท เบนฮัดโด เป็นหมู่บ้านป้อมปราการ ตั้งอยู่ระหว่างทะเลทรายซาฮาร่าและเมืองมาราเกช ในประเทศโมร็อคโค บ้านและอาคารสร้างจากดินโคลนในสไตล์โมร็อคโค และที่นี่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดย UNESCO ในปี 1987

ถ้าได้เห็นเมืองเอท เบนฮัดโด ด้วยตาตัวเอง ขอบอกว่ายิ่งใหญ่มาก เหมือนเป็นปราสาททรายในขนาดจริง ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนอาศัยอยู่ได้ ซึ่งจริงๆแล้วเคยมีคนอาศัยอยู่และพวกเขาก็ยังอาศัยอยู่จนถึงปัจจุบัน เพราะฉะนั้นต้องระวังไม่ไปเข้าบ้านคนอื่นด้วย

ด้วยความสวยงามและสมบูรณ์ของบ้านเรือน ทำให้เอท เบนฮัดโดถูกเลือกเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์หลายเรื่อง เช่น The Mummy, Gladiator, และ Game of Thrones ซึ่งนอกจากคนที่ชอบเที่ยวเมืองประวัติศาสตร์ ชอบสถาปัตยกรรมแล้ว ยังมีคนมาตามรอยหนังดังกันอีกด้วย

Casablanca เรื่องลึกลับในเมืองวุ่นวาย ที่ Morocco

ที่ตั้ง : คาซาบลังก้า ประเทศโมร็อคโค

คาซาบลังก้า เป็นเมืองท่าที่สำคัญและเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของโมร็อกโก ในอดีตชาวเบอร์เบอร์เข้ามาตั้งถิ่นฐานที่นี่ ต่อมาชาวฟินิเชีย ชาวโรมัน และชาวเมรินิดเข้ามาใช้ที่นี่เป็นเมืองท่า หลังจากนั้นตอนต้นศตวรรษที่ 15 ที่นี่กลายเป็นแหล่งกบดานของโจรสลัด ทำให้โปรตุเกสเข้ามาทำลายเมือง สร้างป้อมปราการขึ้นมาและสร้างเมืองขึ้นรอบป้อมปราการด้วย ต่อมาเกิดแผ่นดินไหวทำให้ชาวยุโรปต้องทิ้งเมืองนี้ไป หลังจากนั้นสุลต่านแห่งโมร็อคโคก็เข้ามาสร้างเมืองอีกครั้งโดยได้รับความช่วยเหลือจากสเปน

ตรงหาดคาซาบลังก้ามีคลับอยู่ ย้อนไปเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว มีข่าวลือว่ามีคนถูกฆ่าที่นี่และหลังจากนั้นก็มีเรื่องราวประหลาดเกิดขึ้นภายในคลับ แม้ว่าที่นี่จะอยู่ติดทะเล และทำเลดีมากๆ แต่กลับไม่มีใครมาซื้อตึกนี้เลย อีกเรื่องหนึ่งก็คือ ในปี 2011 ห้าง Morocco Mall เปิดให้บริการ เป็นแหล่งช้อปปิ้งขนาดใหญ่มาก แต่ว่ากันว่าห้างนี้สร้างทับสุสาน ทำให้มีคนมองเห็นวิญญาณ และเหตุการณ์ผิดธรรมชาติหลายครั้ง

ท่องเที่ยว ท่องเที่ยวเมื่อง Morocco

Casablanca เรื่องลึกลับในเมืองวุ่นวาย ที่ Morocco

ราชอาณาจักรโมร็อกโก (Kingdom of Morocco)

หากพูดถึงโมร็อกโกทุกคนคงนึกถึงทะเลทราย อูฐ แต่จริงๆแล้วโมร็อกโกยังมีอีกหลายๆอย่างที่ผู้ที่เดินทางไปเที่ยวควรจะรู้เพิ่มเติม วันนี้เราจึงนำข้อมูลของโมร็อกโกมาบอกทุกคนค่ะ

ข้อมูลทั่วไป กรุงราบาต

ชื่อทางการ
ราชอาณาจักรโมร็อกโก (Kingdom of Morocco)

เมืองหลวง
กรุงราบาต

ที่ตั้งและอาณาเขต
ทิศตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปแอฟริกา
ทิศเหนือ ติดทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
ทิศตะวันตก ติดกับมหาสมุทรแอตแลนติก
ทิศใต้ ติดมอริเตเนีย
ทิศตะวันออก ติดแอลจีเรีย

อากาศ
ภาคเหนือ บริเวณที่ติดกับทะเล อากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน
ภาคเหนือส่วนที่ต่ำลงมา ภาคกลางและภาคตะวันตก อากาศอบอุ่น
บริเวณลึกเข้าในแผ่นดิน อากาศร้อนและแห้งแล้ง

ประชากร
27.77 ล้านคน

ศาสนา
ร้อยละ 99 นับถือศาสนาอิสลาม ที่เหลือนับถือคริสต์นิกายคาทอลิค ศาสนายิว

ภาษา
อารบิกเป็นภาษาราชการ ภาษาต่างประเทศที่ใช้กันทั่วไป คือ ฝรั่งเศส

สกุลเงิน
ดีร์ฮาม (Dirham)
1 ดีร์ฮาม ประมาณ 4 บาท (2543)
1 ดอลลาร์สหรัฐฯ ประมาณ 10 ดีร์ฮาม (2543)

การปกครอง
ประชาธิปไตยโดยม ีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขและมีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาล

เวลา
ช้ากว่าประเทศไทย 7 ชั่วโมง
วันและเวลาการทำงาน วันจันทร์ – ศุกร์ 08.30 – 12.00 น. และ 14.30 – 18.30 น.
ในช่วงเทศกาลถือศีลอดจะเลิกงานในช่วงบ่าย (ประมาณ 15.00 น.) แ ละไม่หยุดพักกลางวัน

การเดินทางเข้าโมร็อกโก
บุคคลสัญชาติไทยที่จะเดินทางเข้าโมร็อกโก ต้องได้รับการตรวจลงตราจากสถานเอกอัครราชทูตโมร็อกโก

ข้อพึงระวัง
ควรแต่งกายให้เรียบร้อยและมิดชิด
อัตราการเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์มีสูง
ไม่ควรเดินทางไปบริเวณใกล้พรมแดนแอลจีเรีย (Algeria) และซาฮาราตะวันตก (Western Sahara)
มีบทลงโทษที่รุนแรงสำหรับการกระทำความผิดที่เกี่ยวกับยาเสพติด
ไม่ควรถ่ายรูปก่อนได้รับอนุญาต โดยเฉพาะการถ่ายรูปบุคคล