3 เมือง unseen ที่ต้อง Go Go Go เที่ยวโมรอคโคกันดีกว่า

โมรอคโคมีเมืองสุดแปลกแตกต่างกว่าประเทศยอดนิยมทั้งหลายที่นักเที่ยวแหวกแนวห้ามพลาด อย่างน้อยก็ 3 เมืองที่เราจะมาเล่าให้ฟัง ลุยเลยยยยย

สายเที่ยวบางคนอาจจะกำลังหาที่เที่ยวนอกแถบเอเชียอยู่ แต่ก็กังวลว่าถ้าจะไปในที่ที่ตัวเองไม่คุ้นเคยแล้วมันจะเป็นยังไง Tourkrub ต้องขอบอกก่อนว่าในแต่ละประเทศ ก็จะมีสิ่งที่เป็นไฮไลท์จุดปังที่ดึงดูดนักเดินทางแตกต่างกันออกไป โดยส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นปราสาท ตึก สะพาน สวนสนุก รูปปั้น ภูเขา แม่น้ำ วิวธรรมชาติ 

แต่กับ “โมรอคโค” นั้นบอกเลยว่าแตกต่างนะครับ เป็นประเทศ Unseen ที่นักท่องเที่ยวไม่ค่อยนึกถึงกันเท่าไหร่ แต่โมรอคโคนี่แหละ เป็นอีกสถานที่ท่องเที่ยวอีกประเทศหนึ่ง

เพราะนอกจากประเทศโมรอคโคจะขึ้นชื่อในศิลปะสไตล์ของตัวเอง ที่เรามักคุ้นตากับการตกแต่งสไตล์โมรอคโคอันเกลื่อนกลาดตามคาเฟ่และรีสอร์ตในเมืองไทย แต่รู้หรือไม่ว่า โมรอคโคมีเมืองสุดแปลกแตกต่างกว่าประเทศยอดนิยมทั้งหลายที่นักเที่ยวแหวกแนวห้ามพลาด อย่างน้อยก็ 3 เมืองที่เราจะมาเล่าให้ฟัง ลุยเลยยยยย

1.เที่ยวโมรอคโค Merzouga กับทะเลทรายซาฮาร่า

มาเยือนทวีปแอฟริกาทั้งที จะไม่พูดถึงทะเลทรายขนาดมหึมาอย่างซาฮาร่าก็กระไรอยู่ ทะเลทรายซาฮาร่าเป็นทะเลทรายมีขนาดใหญ่สุดเป็นอันดับสามของโลก แหม่ทะเลทรายฮอตฮิตทั้งหลายต้องหลบให้พี่เค้าละ ลืมไปได้เลยกับการไปถ่ายรูปกิ๊กๆก๊อกๆในทะเลทรายประเทศเพื่อนบ้าน พี่ซาฮาร่าเค้าน่ะของจริง งามงดยิ่งใหญ่เหลืองทองอร่ามมาก

การไปเยือนก็ง่ายแสนง่าย แค่นั่งรถไปเมือง Merzouga  แล้วขี่น้องอูฐดุ่ยๆมุ่งหน้าเดินเข้าไปในทะเลทรายไกลสุดลูกหูลูกตา หยิบ sandboard มาเหยียบลื่นสไลด์ไปตามเนินทรายเก๋ๆ จัดเต็มกับท่าโพสท์เล่นกับทรายตามสไตล์และความครีเอทของตัวเองกันให้หนำใจ ตกเย็นก็ตั้งกล้องถ่ายแสงสีส้มทอดลงบนทรายสีทอง แล้วนอนค้างกันซักคืนในเต้นท์แบบดั้งเดิมของชาว Berber (ชาวพื้นเมืองที่ใช้ชีวิตอยู่กลางทะเลทราย) เอนหลังลงบนทรายอันแสนนุ่มชื่นชมดวงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืนอันโรแมนติก เอิ่ม แต่อาจจะไม่ค่อยโรแมนติกมากเท่าไหร่ เพราะทะเลทรายอะนะ ก็แห้งแล้ง มีแต่ทรายเหนอะหนะ น้ำมีจำกัด ต้องใช้ชีวิตขัดทุกหลักการของความสะอาด เนื้อตัวก็จะเขรอะๆมอมๆหน่อย แฮร่!

2.เที่ยวโมรอคโค Fez กับบ่อสี

เมืองหลวงแห่งศิลปะและงานแฮนด์เมดจากหนังสัตว์ต้องยกให้ Fez เค้าเลย สินค้าแฟชั่นแบรนด์เนมชื่อดังไฮเอนของยุโรปต่างก็ใช้หนังคุณภาพดีจากที่นี่กันทั้งนั้น เมืองนี้ขึ้นชื่อเรื่องการฟอกและย้อมสีหนัง ตั้งแต่ต้นกระบวนการลอกเอาหนังออกจากวัว แกะและผองเพื่อน กำจัดขนออกจากหนัง และแช่หนังด้วยน้ำผสมอึนกพิราบและฉี่วัวให้มันนุ่มและกัดสี ถ้านึกภาพตาม ก็พอจะได้กลิ่นเลยมั้ยว่าทั้งเมืองบรรยากาศจะเป็นยังไง ใช่ฮะ ก็จะมีกลิ่นอึนกพิราบ ฉี่วัว ปะปนด้วยกลิ่นเนื้อสดแบบร้านขายเนื้อในตลาด ออร์แกนิคสุดๆ เอาที่สบายใจเลยละกัน

จุดไฮไลท์ที่ต้องแวะไปชมให้ได้ คือ บ่อหลุมที่ใช้สำหรับผสมเพื่อย้อมหรือฟอกสีหนัง (Tannery) บ่อพวกนี้มีมากมายหลายแห่งกระจายตัวอยู่ทั่วเมือง แต่จะได้ป๊ะบ่อที่มันมีสีสันกุ๊กกิ๊กมั้ยนั้นต้องขึ้นอยู่กับดวงละ ว่าไปจังหวะที่เค้ากำลังจะย้อมสีมั้ย ไม่งั้นก็จะเห็นแต่บ่อเปลือยๆดิบๆแทน อ้อ อีกหนึ่งความดีงามของเมือง Fez คือ ผลิตภัณฑ์ทั้งหลายแหล่จากหนังสัตว์นั้นราคาสบายกระเป๋าได้อีกครับ เพราะของราคาถูกมากก (ราคากระเป๋าหนังไม่ต่างกับกระเป๋าผ้าอะเห้ย!) และไม่ต้องห่วงว่าจะหนังจริงหนังปลอม แหม่ กลิ่นหลังร้านตลบอบอวนซะขนาดนี้

3.เที่ยวโมรอคโค Chefchaouen กับเมืองสีฟ้า

ยืนยันได้เลยว่านี่เป็นเมืองเดียวในโลกที่เป็นสีฟ้าทั้งเมือง! ย้ำว่าทั้งเมือง ไม่ใช่แค่ย่านเพียงไม่กี่ถนนกะโหลกกะลา แต่มันคือทั้งเมืองบนเขา ว่ากันว่าเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของโมรอคโคแห่งนี้ มีสีฟ้าเพราะผู้อพยพชาวมัวร์และชาวยิวสร้างเมืองนี้ โดยทาสีฟ้า-น้ำเงิน อันเป็นสัญลักษณ์ของพระเจ้า ท้องฟ้าและทะเล (แถมช่วยไล่ยุงได้อีกนะเออ ฉลาดไปอีก!) ทั้งผนังบ้าน พิ้นถนน บันได แทบจะทุกอย่างเป็นสีฟ้าน้ำเงินหมดเลย คู่ควรมากกับการมาเดินเล่นชิลๆ ถ่ายรูปสวยๆ แนะนำให้ ปีนเขาข้างๆเมืองขึ้นไปเพื่อชมวิวเมืองแบบเต็มๆตา พร้อมฟังเสียงระฆังกังวาลเมื่อถึงเวลาละหมาด และเมืองนี้ก็เป็นอีกเมืองหนึ่ง ที่สายช้อปของแฮนด์เมดกุ๊กกิ๊กจะต้องหมดตัวอย่างแน่นอน มีทั้งร้านขายสบู่ออร์แกนิคดีไซน์ชิคๆ ร้านขายเครื่องหอมร้อยกลิ่น และร้านขายของเก่าโบราณน่าสะสม หรืออยากจะลองเพ้นท์เฮนน่าเพิ่มดีกรีความอาหรับในตัวก็แซ่บไม่เบา

ความยากคือ เมืองเล็กๆนี้อาจจะเดินทางไกลหน่อยจากเมืองอื่นๆ แต่รับรองว่าคุ้มค่ามากจริง เพราะความสบายตาของสีฟ้า ความสะอาดของเมือง และความน่ารักของผู้คน ทำให้ฟินสุดๆกับการพักผ่อนหย่อนใจสักสองสามคืน

“โมร็อกโค” (MOROCCO) เสน่ห์แห่งโลกตะวันออกกลาง ดินแดนฟ้าจรดทราย

โมร็อกโค (MOROCCO) ได้รับการขนานนามว่าเป็น “เอล มาห์กริบ อัล อัค ซา” (EL MAHGRIB AL AQSA) ซึ่งหมายถึงดินแดนทางทิศตะวันตกไกลที่สุด ที่นี่เป็นดินแดนเมืองหนาวที่มีแดดอันร้อนแรง หรือเป็นประเทศที่เย็นที่สุดในหมู่ประเทศที่ร้อนที่สุด เนื่องจากภูมิประเทศอันหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นบริเวณที่ตั้งซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือสุดของทวีปแอฟริกา

เมืองคาซาบลังก้า (CASABLANCA) มีความหมายในภาษาสเปนว่าบ้านสีขาว ซึ่งเป็นเช่นนั้นจริงๆ แต่ปัจจุบันนี้บ้านเรือนของพวกเขามีสีขาว เป็นเมืองใหญ่อันดับหนึ่งของราชอาณาจักรโมร็อกโก (Kingdom of Morocco) ตั้งอยู่ริมมหาสมุทรแอตแลนติก ทางฝั่งตะวันตกของประเทศ หลายคนอาจเคยได้ยินชื่อของ “คาซาบลังกา” จากภาพยนตร์ในชื่อ Casablanca (สร้างปีค.ศ.1942) แม้ว่าในความเป็นจริงภาพยนตร์ดังกล่าวไม่ได้ใช้ฉากที่ถ่ายทำในคาซาบลังกาเลยแต่ก็ทำให้เมืองนี้มีชื่อเสียงไปทั่วโลกได้เช่นกัน

Casablanca เป็นภาพยนตร์รักอเมริกันในกาซาบล็องกา เมืองท่าทางตอนเหนือโมร็อกโก ภาพยนตร์กล่าวถึงความขัดแย้งและการตัดสินใจของชายคนหนึ่ง ที่ต้องเลือกระหว่างความรัก กับการช่วยเหลือสามีของเธอในการต่อสู้ต้านทานนาซี อีกหนึ่งเสน่ห์ของหนังเรื่องนี้คือ ความ “แฟนตาซี” และ “เอ็กโซติก” ที่นำเสนอออกมา ทำให้เมืองคาซาบลังก้ากลายเป็นที่รู้จัก และโด่งดังมีชื่อเสียงไปทั่วโลก

จุดหมายที่ไม่ควรพลาด กับการไปเยือนเมืองคาซาบลังก้า ได้แก่ สุเหร่าแห่งกษัตริย์ฮัสซันที่ 2 (Hassan II Mosque) มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 รองจากเมืองเมกกะ สุเหร่านี้งดงามประณีตด้วยสถาปัตยกรรมแบบโมร็อกโคทุกแขนง ชมวิวทิวทัศน์รอบๆ และสุเหร่าแห่งนี้ยังเป็นจุดชมวิวบรรยากาศริมชายฝั่งทะเลอีกด้วยค่ะ

เมืองเชฟชาอูน (CHEFCHAOUEN) Blue City นครสีฟ้า เมืองซึ่งได้ขนานนามว่า “มนต์เสน่ห์แห่งโมร็อคโค” เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 538 ปี มีสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติสวยงาม อากาศบริสุทธิ์และความสะอาดของเมืองได้สร้างบรรยากาศผ่อนคลายสบายๆ จากเหนื่อยล้ามาจากการตระเวนเที่ยวที่เมืองอื่นได้ผ่อนคลาย มีสถาปัตยกรรมที่ยอดเยี่ยม อีกทั้งยังเป็นเมืองที่มีเสน่ห์ และมีชื่อเสียงมากที่สุดด้วยความโดดเด่นของอาคารบ้านเรือนที่ทาเป็นสีฟ้าทั้งหมดด้วยค่ะ

สาเหตุที่เมืองเชฟชาอูนถือว่าเป็นสวรรค์ของคนรักสีฟ้าและสีขาว โดยเฉพาะสีฟ้า นั่นก็เพราะว่าเชฟชาอูนเป็นเมืองที่บ้านเรือนเกือบทุกหลังเป็นสีขาว และมีครึ่งล่างไปจนถึงบริเวณถนน บันได และทางเดิน เป็นสีฟ้าสดใสเหมือนวันที่ท้องฟ้าไร้เมฆ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเทพเจ้า เพื่อเป็นการระลึกถึงพระเจ้านั่นเอง

ทะเลทรายซาฮารา (SAHARA DESERT) เป็นทะเลทรายที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ที่สุดในโลกคือ มีเนื้อที่ประมาณ 9.3 ล้านตารางกิโลเมตร (ใหญ่เท่าอเมริกาทั้งประเทศ) และตั้งอยู่ทางตอนเหนือของทวีปแอฟริกา ให้ท่านได้สัมผัสบรรยากาศยามเช้าในทะเลทรายซาฮาร่า จากสภาพการไร้ฝนและอุณหภูมิที่ร้อนจัดในทะเลทรายมีผลทำให้ความชื้นสัมพัทธ์ของอากาศเหนือทะเลทราย กิจกรรมที่น่าสนใจของสถานที่แห่งนี้ก็คือ ขี่อูฐเพื่อไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่เนินทรายในทะเลทรายซาฮารา

เมืองมาราเกช (MARRAKECH) ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญเชิงเขาแอตลาส ในอดีตเมืองโอเอซิสนี้เป็นที่พักของกองคาราวานอูฐที่มาจากทางตอนใต้ของโมรอคโค เป็นเส้นทางของพ่อค้าตะวันออกกลาง ปัจจุบันเป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุด

สภาพบ้านเมืองที่เห็นได้ชัดคือ ทางเดินที่ทอดตัวยาวสองข้างทางแวดล้อมด้วยบ้านเรือนที่ถูกฉาบด้วยปูนสีส้มๆ คนท้องถิ่นจะเรียกว่า Pink City หรือเมืองสีชมพู อาจกล่าวได้ว่ามาราเกชเป็นเมืองที่มีเสน่ห์ที่สุดในโลกแห่งหนึ่งและยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ที่น่าสนใจ เช่น

มัสยิด คูตูเบีย (Koutoubia Mosque) ซึ่งเป็นมัสยิดใหญ่เก่าแก่ที่สุดในเมืองมาราเกช ไม่ว่าจะเดินไปแห่งใดในตัวเมืองก็จะเห็นมัสยิดนี้ได้ ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1147 เพื่อประกาศชัยชนะของชาวมุสลิมที่ได้นำศาสนาเข้ามาเผยแผ่ได้อย่างสำเร็จ แต่มัสยิดแห่งนี้ผู้ที่ไม่ได้นับถือศาสนาอิสลามไม่สามารถเข้าไปชมด้านในมัสยิดได้ สามารถเดินถ่ายรูปในบริเวณลานด้านนอกรอบๆ ตัวอาคารได้

พระราชวังบาเฮีย (Bahia Palace) มีความหมายว่า “ราชวังแห่งความวิโรจน์” แต่ละห้องจะถูกออกแบบด้วยลวดลายกระเบื้อง มีห้องที่ตกแต่งไว้ทั้งหมด 150 ห้อง มีความงดงามมากเลยทีเดียวโดยที่ตั้งใจจะให้เป็นพระราชวังที่ยิ่งใหญ่และหรูหราที่สุดในสมัยนั้น พระราชวังมีการตกแต่งโดยการแกะสลักปูนปั้น stucco ประดับประดาด้วยโมเสก เป็นลวดลายที่สวยงามละเอียดอ่อนมาก

Jardin Majorelle เป็นสวนพฤกษศาสตร์ขนาดใหญ่ ที่โดดเด่นสะดุดตาแห่งโมร็อคโกว่ากันว่าเป็นสวรรค์น้อยๆ สวนแห่งนี้เป็นที่รวบรวมพันธุ์ไม้นานาจากทั่วโลก โดยเฉพาะต้นกระบองเพชรนับพันต้น หลากหลายสายพันธุ์ มีสวนบัว และป่าไม้ดูร่มรื่น สวนแห่งนี้ออกแบบโดยศิลปินชาวฝรั่งเศส Jacques Majorelle ทำให้สวนแห่งนี้ดูโดดเด่นสะดุดตาขึ้นมาอย่างน่าเหลือเชื่อ

5 ที่พักสไตล์โมร็อกโกริมทะเล ดีไซน์เก๋ไก๋โดนใจสายชิค บรรยากาศโคตรโรแมนติก

Morocco ประเทศแห่งทะเลทรายซาฮารา ดินแดนทางตะวันตกเฉียงเหนือสุดของทวีปแอฟริกา ที่มีอารยธรรมเก่าแก่โบราณ ใกล้ชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกและทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มีสถาปัตยกรรมที่สวยงามและด้วยความโดดเด่นของทางเข้าเมืองเก่าประตูสีฟ้า Blue Gate ศิลปะของชาวอิสลาม ตกแต่งด้วยกระเบื้องเคลือบ งานเซลลิจฟ้าสลับขาวสวยงาม ประตูบานโค้งนี้จึงกลายเป็นเอกลักษณ์ของโมร็อกโกอันวิจิตรบรรจง จนหลากหลายสถานที่นำมาสร้างเป็นที่พัก รีสอร์ท และเมื่อได้มองเห็นประตูโค้งทรงนี้จะต้องนึกถึงประเทศโมร็อกโกทันที วันนี้ทริปเก็ทเตอร์จึงเสาะหาที่พักที่ยกเอาโมร็อกโกมาไว้ให้คุณในประเทศไทยแล้ว บอกเลยแต่ละที่นั้นสวยงามและออกแบบได้วิจิตรบรรจงไม่แพ้ประเทศโมร็อกโกเลยทีเดียว

1.วิลล่า มาร็อก รีสอร์ท, ประจวบคีรีขันธ์
(Villa Maroc Resort)

เริ่มต้นด้วยที่พักที่เมื่อก้าวเท้าเข้ามาแล้ว เหมือนหลุดเข้ามาสู่โมร็อกโก ด้วยการออกแบบอาคารสีสันเจิดจรัส และห้องพักที่ถ่ายทอดเอาสถาปัตยกรรมและศิลปะอันสวยงามทั้งภายในและภายนอก อีกทั้งการใช้ประตูทรงโค้งอันเป็นเอกลักษณ์ และความสวยงามของโมร็อกโกถ่ายทอดออกมาได้อย่างเต็มรูปแบบ ไม่ว่าจะเดินไปส่วนไหนของโรงแรมก็เหมือนอยู่โมร็อกโก ที่นี่มีห้องพักทั้งหมด 15 ห้อง 5 รูมไทป์ ได้แก่ Pool Courts, Pool Villas, One-Bedroom Villa, Two-Bedroom Villa และRoyal Villas มาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย และเฟอร์นิเจอร์อันหรูหรา พร้อมสระว่ายน้ำริมชายหาด

VillaMaroc-01
VillaMaroc-01
VillaMaroc-01
VillaMaroc-01
VillaMaroc-01

Location: 165/3 หมู่ 3 ปากน้ำปราณ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์
Price: ราคาเริ่มต้น 9,000 บาท (ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงกรุณาโทรสอบถามล่วงหน้า)
Phone: 032 630 771
Facebook: Villa Maroc ResortWebsite: Villa Maroc Resort

2.มาราเกช หัวหิน รีสอร์ท แอนด์ สปา
(Marrakesh Hua Hin Resort & Spa Hotel)

ต่อด้วยอีกหนึ่งที่พักที่ใช้ชื่อ “มาราเกซ” เมืองท่องเที่ยวริมทะเลในประเทศโมร็อกโก ที่ได้ฉายาว่า “City of Red” หนึ่งในเมืองที่มีสีสันสดใส สร้างด้วยดินสีแดง ที่นี่จึงดึงเอาเอกลักษณ์อันโดดเด่นมาผสมผสานกับสไตล์ Neo-Morocco จนได้เป็นรสอร์ทที่อบอวลไปด้วยบรรยายาศแห่งโมร็อกโก โดยที่นี่จะแบ่งออกเป็น 3 โซน ตั้งอยู่คนละตึกใช้ชื่อได้เข้าธีมทะเลทรายมากๆ มีห้องพักทั้งหมด 7 แบบ 2 โทนโดยใช้สีตามความเชื่อของชาวอาหรับในเรื่องแสงแดดและท้องทะเล ได้แก่ สีแดงและสีน้ำเงิน ภายในห้องพักกว้างขวาง ตกแต่งในสไตล์อาหรับและแฝงไปด้วยกลิ่นอายของโมร็อกโก ห้องพักมีระเบียงที่สามารถมองเห็นวิวทะเลได้แบบ 180 องศา มาพร้อมสระว่ายน้ำยาวไปจนถึงชายหาด ให้คุณได้เล่นน้ำพร้อมกับชมวิวท้องทะเลสีฟ้าคราม และยังมีกิจกรรมหลากหลายให้ เช่น การทำสปาสไตล์โมร็อกโก คลาสทำขนม-อาหาร คลาสโยคะ และช่วงบ่ายๆ จิบชา Afternoon Tea มาเยือนที่นี่แล้วได้ครบจริงๆ 

Location: ซอยหัวหิน 83/1-85 ถนนเพชรเกษม อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์
Price: ราคาเริ่มต้น 3,700 บาท (ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงกรุณาโทรสอบถามล่วงหน้า)
Phone: 032 616 777
Facebook: Marrakesh Hua Hin Resort & SpaWebsite: Marrakesh Hua Hin Resort & Spa

3.อัล เมดินา บีช เฮ้าส์, จันทบุรี
(Al Medina Beach House)

“Al Medina Beach House” มนต์เสน่ห์แห่งโมร็อกโกจากชื่อเมืองเก่าในประเทศโมร็อกโกกลายมาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างรีสอร์ท โดยใช้ชื่อเมือง “Medina” มาเป็นชื่อรีสอร์ท ด้วยการตกแต่งรีสอร์ทที่หยิบเอาคงามงามของสถาปัตยกรรมอินเดียผสมผสานกับความเป็นเมดิเตอร์เรเนียน แต่เลือกใช้สีอาคารสีขาวโทนอ่อน ให้ความรู้สึกเรียบหรู มีห้องพักทั้งหมด 9 ห้อง โดยตั้งชื่อตามชื่อเมืองต่างๆ ในโมร็อกโก คือ Marrakech, Fez, Casablanca, Essaouira, Asilah, Tangier, Rabat, Meknes และSale โดยแต่ละห้องได้วิวที่แตกต่างกันอย่างห้อง Marrakech ที่สามารถชมวิวได้ถึง 3 ด้าน ทั้งวิวพระอาทิตย์ตกลับขอบทะเล วิวภูเขาสีเขียวชอุ่ม และวิวท้องทะเลสีคราม สำหรับใครชอบห้องพักที่ได้วิวดีดีแบบนี้แนะนำ
Location: 
99 หมู่ 7 หาดคุ้งวิมาน ต.คลองขุด อ.นายายอาม จ.จันทบุรี
Price: ราคาเริ่มต้น 3,000 บาท (ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงกรุณาโทรสอบถามล่วงหน้า)
Phone: 085 334 3555, 085 155 3333
Facebook: Al Medina Beach House

4.ริยาจ หัวหิน โฮเทล
(Riad Hua Hin Hotel)

“Riad Hua Hin Hotel” ริยาจในภาษาอาหรับ หมายถึง ที่พักที่ซึ่งลรายล้อมไปด้วยต้นไม้และธรรมชาติ โดยได้แรงบันดาลใจมาจากสถาปัตยกรรมสไตล์โมร็อกโกผสมผสานความเป็นเมดิเตอร์เรเนียนด้วยอาคารสีเหลืองสดใส มีห้องพักทั้งหมด 12 ห้อง 3 รูมไทป์ ได้แก่ แมวนอน แมวนั่ง และแมวยืน โดยแต่ละห้องมองเห็นวิวแตกต่างกันออกไป ห้องที่ใหญ่ที่สุดของที่นี่คือ ห้องแมวนอน ซึ่งอยู่ติดกับสระว่ายน้ำ พร้อมจากุชชี่ให้คุณได้นอนแช่ตัวอย่างสบายอุรา ภายในกว้างขวาง โปร่ง โล่งสบาย มีระเบียงให้คุณได้ออกมาถ่ายรูป ชมวิวท้องทะเลเขาตะเกียบได้แบบ 180 องศา

Location: 75 หมู่บ้านหัวดอน ต.หนองแก อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์
Price: ราคาเริ่มต้น 2,000 บาท (ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงกรุณาโทรสอบถามล่วงหน้า)
Phone: 089 899 7979
Facebook: Riad Hua Hin hotel

5.บ้านมนตรา บีช รีสอร์ท, ประจวบคีรีขันธ์
(Baan Montra Beach)

ปิดท้ายด้วยรีสอร์ทเล็กๆ ที่ใช้ชื่อไทยๆ แต่แฝงไปด้วยกลิ่นอายของโมร็อกโก ที่มีบ้านพักแบบวิลล่าทั้งหมด 18 หลัง 4 แบบ คือ Studio Poolside Villa, Family Poolside,  Beach Front Villa และ Ocean View Villa วิลล่าแต่ละหลังแยกส่วนกันที่ไม่ว่าคุณจะมาสวีทกับแฟน หรือพาครอบครัวมาเที่ยวก็ไม่ต้องกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว ทั้งยังมีระเบียงและดาดฟ้าให้นั่งชมวิวได้แบบ 360 องศา และมีสระว่ายน้ำ ร้านอาหารวิวทะเลให้คุณได้นั่งรับประทานอาหารท่ามกลางบรรยากาศสุดโรแมนติก ไม่ว่าใครได้มาเยือนที่นี่ก็ต้องตกหลุมรักอย่างแน่นอน 

Location: 333/1 หมู่ 3 ต.ธงชัย อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์
Price: ราคาเริ่มต้น 2,400-3,800 บาท (ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงกรุณาโทรสอบถามล่วงหน้า)
Phone: 089 519 0770
Facebook: บ้านมนตรา บีช รีสอร์ท,หาดบ้านกรูด : Baanmontra Beach ResortWebsite: Baanmontra Beach Resort

5 ที่พักสไตล์โมร็อกโกริมทะเล ดีไซน์เก๋ไก๋โดนใจสายชิค บรรยากาศโคตรโรแมนติก

ที่พักโรงแรมในโมร็อคโก

เที่ยวเมืองเมอร์ซูก้า (Merzouga)

เที่ยวโมร็อกโกทั้งที ต้องมาเช็คอินที่เมืองนี้ เมืองเมอร์ซูก้า (Merzouga) เป็นเมืองขนาดเล็กอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ ซึ่งตั้งอยู่ภายในทะเลทรายซาฮาร่า(Sahara Desert) เป็นทะเลทรายที่ใหญ่ที่สุดในโลก อยู่ติดกับเขตแดของแอลจีเรีย เป็นเมืองท่องเที่ยวที่โด่งดังในเรื่องการท่องเที่ยวขี่อูฐในทะเลทรายซาอาร่า โดยนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะนิยมขี่อูฐไปตามสันทรายสูงๆ เรียงกัน สวยงาม เรียกบริเวณนั้นว่า “เอิร์ก เชบบิ” (Erg Chebbi) ชมทิวทัศน์ของทะเลทราบสีส้มแดงแปลกตาตั้งแคมป์นอนกลางทะเลทราย ถ่ายรูปสวยๆ ของสีส้มเม็ดทรายและตัดกับสีท้องฟ้า ตกดึกก็นอนนับดาวแบบไม่มีออะไรมากั้นกลางเลย ได้ฟิลลิ่งสุด การที่เราได้ไปสัมผัสกับวิถีชีวิตแบบชาวพื้นเมืองในเขตทะเลทรายซาฮาร่าเป็นประสบการณ์ที่บอกเลยว่า ต้องมาให้ได้สักครั้งในชีวิต

เที่ยวเมืองเมอร์ซูก้า (Merzouga)
เที่ยวเมืองเมอร์ซูก้า (Merzouga)
เที่ยวเมืองเมอร์ซูก้า (Merzouga)

เที่ยวเมืองเชฟชาอูน (Chefchaouen)

เมืองเชฟชาอูน (Chefchaouen) เมืองที่ถูกย้อมด้วย “สีฟ้า-น้ำเงิน” แห่งโมร็อกโกที่ห้ามพลาด เป็นเมืองเก่าแก่ที่สุดอยู่ทางตอนเหนือของประเทศโมร็อกโก เมืองนี้เหมาะสำหรับสายถ่ายรูปมาก เพราะไม่ว่าจะถ่ายมุมไหนก็ออกมาสวย ด้วยเสน่ห์ของสี “สีฟ้า-น้ำเงิน” ของเมืองทั้งเมืองที่มีความเชื่อว่าเป็นสีสัญลักษ์ของท้องฟ้าและเทพพระเจ้า

เที่ยวเมืองเชฟชาอูน (Chefchaouen)

เมืองเชฟชาอูน (Chefchaouen) เป็นเมืองที่มีวิวทิวทัศน์ที่สวยงามของธรรมชาติ เป็นเมืองที่ถูกล้อมด้วยหุบเขารีฟ (Rif Montain) บ้านเมืองดูสะอาดตา สีสันสวยงามทำให้เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว นอกจากนี้เมืองเชฟซาอูนยังเป็นแหล่งปลูกกัญชาที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดของประเทศโมร็อกโกอีกด้วย หากใครได้มีโอกาสไปเที่ยวโมร็อกโกบอกเลยว่าเมืองนี้ คือ ห้ามพลาดจริงๆ

เที่ยวเมืองเชฟชาอูน (Chefchaouen)
เที่ยวเมืองเชฟชาอูน (Chefchaouen)

เที่ยว ย่านไอน์เดียบ (Ain Diab)

ย่านไอน์เดียบ (Ain Diab)

ย่านไอน์เดียบ (Ain Diab) โมร็อกโก แดนหรรษาบนแอฟริกาตอนเหนือ ที่เป็นย่านตากอากาศริมทะเลริมมหาสมุทรแอตแลนติก เป็นถิ่นพำนักของผู้มีฐานะทางสังคม รวมทั้งนักแสดงดาราชื่อดังของฮอลลีวู้ดบางรายก็มีบ้านพักอยู่แถบนี้ด้วย นอกจากจะมีชายหาดสำหรับพักผ่อนแล้วยังมีภัตตาคารหรูหราหลายระดับตามความสามารถในการจ่าย สถานที่เล่นกีฬา สระว่ายน้ำคอร์ทเทนนิส สนามวอลเลย์บอล และแม้แต่ดีสโกเธคก็มีบริการ

เที่ยว ย่านไอน์เดียบ (Ain Diab)
เที่ยว ย่านไอน์เดียบ (Ain Diab)

ห้างสรรพสินค้า MORROCO MALL

ห้างสรรพสินค้า Morroco Mall เป็นห้างสรรพสินค้าที่มีชื่อเสียงและมีขนาดใหญ่มากแห่งหนึ่งของ Casablanca และยังคงเป็นห้างแห่งใหม่ที่มีการเปิดให้บริการมาไม่นานมีความสะอาดหรูหราสะดวกต่อการช้อปปิ้งเป็นอย่างมาก สามารถนั่งรถ taxi หรือ นั่ง tram จากตัวเมืองมายันสถานี Ain diab terminus เพื่อที่จะเดินชมวิวทะเลได้ ซึ่งจะมีชายหาดยาวประมาณ 3 กิโลเมตร โดยสภาพอากาศตอนกลางวันอาจจะมีแดดแรงไปหน่อยแต่ถ้าพูดถึงในยามช่วงเย็นๆ แล้วจะมีอากาศที่ร่มรื่นและมีลมพัดไปมาตลอดเวลาทำให้นักท่องเที่ยวไปเดินชมวิวได้อย่างเย็นสบาย จากการรีวิวนักท่องเที่ยวที่เคยไปกัน ว่ากันว่าห้างแห่งนี้มีร้านอาหารที่รสชาติดีอยู่หลายร้าน และมีร้านค้ามากมายให้นักท่องเที่ยวได้เลือกจับจ่ายใช้สร้อยสินค้าตามที่ต้องการ ในส่วนของราคาอาหารก็ส่วนมากจะมีราคาย่อมเยา ซึ่งจะมีโซนอยู่ด้านใน นอกจากนี้ยังมีโซนที่อยู่ติดกับหน้าต่างที่เป็นกระจกสูง ทำให้ลูกค้าสามารถมองเห็นพระอาทิตย์ตกดินได้อีกด้วย ว่ากันว่าเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกดินที่ดีที่สุด เรียกได้ว่านักท่องเที่ยวสามารถพักทานอาหารหรือจะเดินเล่นซื้อของได้อย่างเพลิดเพลินหลายๆ ชั่วโมงก็ไม่น่าเบื่อ

Morocco Mall, Casablanca, Morocco – Geoplast

โกรกธารทอดดราแห่งเมืองโมร็อกโก

อีกหนึ่งสถานที่ที่นักท่องเที่ยวจะต้องแวะชมกันส่วนมากและว่ากันว่าเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่นักท่องเที่ยวประทับใจมากที่สุดของการเดินทางไปเมืองโมร็อกโก เพราะที่นี่คือผาที่มีเส้นทางตามทางไปทะเลทรายซาฮาร่า ซึ่งจะต้องผ่านโกรกธาร (gorge) แห่งนี้เป็นระยะทางที่สั้นมากๆ อย่าง โกรกธาร เดดส์ จะมีลักษณะเป็นแม่น้ำเดดส์ไหลผ่านโขดหินต่างๆ จากที่สูงลงสู่ที่ราบต่ำ ทำให้ระแวกนั้นมีการเพาะปลูกต้นไม้ออกผล เช่น ต้นปาล์ม ต้นอัลมอนด์ ต้นวอลนัท ต้นฟิก ซึ่งสถานที่โดยรอบนั้นจะมีคัสบาห์ หรือที่เราเรียกกันว่า ป้อมปราการโบราณซึ่งจะมีให้เห็นตามแนวโกรกธารเสมือนเป็นส่วนหนึ่งของภูมิประเทศ ซึ่งโกรกธารที่มีชื่อเสียงสำหรับนักท่องเที่ยวมากที่สุด คือกรกธารทอดดรา เป็นโกรกธารที่มีโขดผาสูงประมาณ 985 ฟุต ซึ่งจะมีทั้งสองด้านตั้งทำมุมกันเสมือนรูปทรงสามเหลี่ยม  ว่ากันว่าโกรกธารทอดดรา (Todra Gorge) มีความอุดมสมบูรณ์และมีความสวยงามมากที่สุดของโกรกธารทั้งหมด มีนักท่องเที่ยวได้แวะชมโกรกธารแห่งนี้เพื่อรับประทานอาหารกลางวัน ที่มีร้านอาหารและร้านค้าเล็กๆ ตั้งขายของอยู่บริเวณแห่งนั้น ทำให้การรับประทานอาหารในครั้งนี้ได้บรรยากาศดีๆ ทั้งแม่น้ำที่ไหลผ่านทำให้ได้ยินเสียงของน้ำจากธรรมชาติและแสงพระอาทิตย์จากช่องของหน้าผาสามเหลี่ยมบวกกับสายลมที่พัดผ่าน สำให้การเดินทางมาสถานที่แห่งนี้ต่างเป็นที่ถูกอกถูกใจกับนักท่องเที่ยวมาแล้วนักต่อนัก

แกรนด์โมรอคโค 11 วัน 8 คืน (EY) - Go Together Travel

แวะชมพืชสวนและแพะที่ชอบอยู่บนต้นไม้ของโมร็อกโก

เมืองโมร็อกโกมีการขุดน้ำขึ้นมาใช้โดยการทำระบบชลประทานใต้ดินจนทำให้โมร็อกโกตอนใต้มีน้ำกินน้ำใช้กันอย่างทั่วถึงและกว้างขวาง ทำให้มีพืชพันธุ์ต่างๆ ขึ้นตามรอบแหล่งน้ำ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นต้นปาล์มอินทผาลัม ต้นมะกอก และผักผลไม้บ้างชนิด โดยเฉพาะพืชตระกูลปาล์มอย่าง อินทผาลัม (Date palm) เป็นพืชที่ทนกับสภาพอากาศร้อนได้เป็นอย่างดี บากกับสภาพอากาศแห้งแล้งที่มีแต่ทะเลทรายทำให้พืชชนิดนี้นิยมปลูกกันมาก ว่ากันว่าในประวัติมีชาวอาหรับที่ได้นำศาสนาอิสลามเข้ามาเผยแพร่ตั้งแต่ ศตวรรษที่ 7 และนำ ปาล์มที่มีผลอินทผาลัมเข้ามาใช้ในการเพาะปลูกอีกด้วย จึงทำให้ ต้นปาล์มอินทผาลัมดังกล่าวเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของเมืองโมร็อกโกก็ว่าได้ เพราะทางศาสนาต้นปาล์มถือว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ต่อศาสนาอิสลาม

ต้นปาล์มอินทผาลัมจะสามารถให้ผลเก็บเกี่ยวเป็นจำนวนมากในแต่ละครั้ง ซึ่งทานได้ง่ายทั้งแบบดิบและแบบสุข หรือถนอมอาหารโดยการนำผลสุกมาตากแดด(ตากแห้ง) เพื่อเก็บไว้ทานได้นานหลายปี อินทผาลัม ให้รสชาติที่หวานฉ่ำ และยังมีคุณค่าทางอาหารสูง มีแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายหลากหลายชนิด  ซึ่งโมร็อกโกมีการส่งออกของผลอินทผาลัม 2 แสนตันต่อปีโดยประมาณ

มาถึงต้นอาร์กัน (Argan Tree) ที่มีความสำคัญอยู่ไม่น้อย

เพราะต้นอาร์เป็นพืชที่ดึงดูดฝูงแพะเป็นจำนวนมากให้มารวมตัวกันเพื่อปืนป่ายเก็บกินผลและใบของต้นอาร์ ซึ่งลักษณะของผลต้นอาร์จะมีความคล้ายกับลูกมะกอก  มีกลิ่นหอม ซึ่งจะให้ผลและเมล็ด เก็บเกี่ยวได้ในช่วงเดือน มิถุนายน – กรกฎาคม ในปัจจุบันโมร็อกโกจะมีป่าต้นอาร์ประมาณ 8,280 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเป็นเขตที่ องค์การยูเนสโก ได้กำหนดให้เป็น เขตอนุรักษ์ทางชีววิทยา ต้นอาร์สามารถนำไปสกัดเป็นน้ำมันอาร์กันได้ และยังสามารถนำไปใช้เป็นเครื่องปรุงสำหรับอาหาร และ ยา โดยเฉพาะอาหารเสริมหรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวพรรณเป็นต้น

ประตูสู่ทะเลทรายที่ วาร์ซาเซต

ประเทศๆ จัดว่ามีจุดเด่นด้านภูมิศาสตร์และกายภาพหลายอย่าง หนึ่งแลนด์มาร์คสำคัญของโมร็อคโคนั่นคือ ทะเลทรายซาฮาร่า หลายคนอาจจะคิดว่าทะเลทรายใครจะไปเที่ยว เอาเข้าจริงคิดผิดกันไปเยอะ ทะเลทรายซาฮาร่านั้นมีคนไปเที่ยวเยอะมากแต่ละปี แต่ก่อนจะไปเที่ยวทะเลทรายซาฮาร่า เราต้องผ่านเมืองหนึ่งก่อนนั่นคือ เมืองวาร์ซาเซต

เรื่องราวสำคัญของเมือง วาร์ซาเซต

เมือง วาร์ซาเซต จัดว่าเป็นเมืองที่มีความสำคัญต่อหน้าประวัติศาสตร์โมร็อคโคเหมือนกัน เมืองนี้มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,160 เมตร สมัยโมร็อคโคยังตกอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศสนั้น เมืองถูกยกให้เป็นศูนย์กลางทางด้านการทหาร และเป็นด่านภาษีสำคัญของทางใต้อีกด้วย (เนื่องจากเป็นจุดเชื่อมต่อเข้าทะเลทรายซาฮาร่า) ปัจจุบันเมืองนี้กลายเป็นเมืองหน้าด่าน เมืองท่องเที่ยวก่อนเข้าทะเลทรายอีกทั้งยังมีอุตสาหกรรมสำคัญอีกด้วย

เยี่ยมชมป้อมปราการ

การเดินทางไปเที่ยววาร์ซาเซต เราจะได้พบเห็นสถาปัตยกรรม + อารยธรรมดั้งเดิมของพวกเค้า ไปแล้วเราจะได้เห็นป้อมปราการที่เหลือมาตั้งแต่ครั้งกระโน้นเยอะมาก ป้อมสำคัญเลยคือ ป้อมทาอูเริท ป้อมหรือพระราชวังนี้ เป็นของผู้ปกครองตระกูล กลาวี เราจะได้เห็น ความยิ่งใหญ่ ความอลังการของชนชั้นปกครองเมือง (ไฮโซ)ในสมัยนั้นว่าเค้าอยู่กันอย่างไร ด้านในประกอบไปด้วยห้องอีกหลายห้อง ตามด้วยลวดลายศิลปะของชาว เบอร์เบอร์ (ชาวพื้นเมืองของเมืองนี้)

สินค้าพื้นเมือง

ไปถึงเมืองแล้ว ก็ต้องมองหาสิ่งของพื้นเมืองหรือ โอท็อปบ้านเค้ากลับมากันสักหน่อย เราขอแนะนำเลยได้แก่ พรมทอมือจากชาวเมือง หรือ มีชื่อเรียกว่า พรมวาร์ซาเซต พรมนี้เป็นงานหัตถกรรมทอมือจากชาวพื้นเมืองโดยตรง พรมของพวกเค้ามักจะใช้ลวดลายเป็นรูปเรขาคณิตลงบนพื้นหลังสีแดง สีส้ม หรือสีดำ แปลกตาดีเหมือนกัน หรือจะเป็นน้ำมันบำรุงผมสูตรชาวพื้นเมือง หลายคนบอกว่าของเมืองนี้ดังมากนะสาวๆ น่าลองไปใช้กันดู อ้อ เครื่องเทศเค้าก็มีดีด้วย

เยี่ยมชมโรงถ่ายภาพยนตร์

ท่องเที่ยวจุดต่อไป บอกเลยว่าไม่มาเองไม่รู้แน่ นั่นคือ โรงถ่ายภาพยนตร์แอตลาสอุตสาหกรรมที่ซ่อนอยู่หลังเมืองหน้าด่านทะเลทรายซาฮาร่า บางคนสงสัยว่า โรงถ่ายภาพยนตร์แอตลาส จะมาตั้งนี้จริงเหรอ ขอบอกเลยว่าจริง พอเราเข้าไปจะได้เห็นอุปกรณ์ประกอบฉากภาพยนตร์ที่เกี่ยวข้องกับทะเลทรายเยอะแยะมากมาย หลายฉากในโรงถ่ายผ่านสายตาเรามาหมดแล้วในหนังฮอลลีวูดฟอร์มยักษ์ทั้งหลายนั่นเอง น่าจะทำให้เราได้สนุกสนานกับการถ่ายรูปตามฉากต่างๆ แบบไม่เบื่อเท่าไร ค่าเข้าชม 50Dh ถือว่าสมน้ำสมเนื้อ ถือว่าเป็นเมืองหน้าด่านให้เราสนุกก่อนเข้าทะเลทรายซาฮาร่าได้ดี