โมรอคโค น่ารักโค-ตร เรื่องจริงไม่ได้โม้ จากหนังคลาสสิค Casablanca, Lawrence of Arabia ถึง Gladiator โมรอคโคคือประเทศที่ซุปตาร์เซเลป ร๊อคสตาร์หรือฮอลลีวูดมักจะโดนเวตมนต์ให้ต้องไปเยือนเสมอ ประเทศนีมีความน่าอัศจรรย์อยู่ไม่น้อย มีแหล่งมรดกโลกมากมาย แล้วยังมีทะเลทรายซาฮาร่าที่ทุกคนคุ้นชื่อกัน มาสำรวจที่เที่ยวไฮไลท์ห้ามพลาดของโมรอคโค จากนั้นมาดูว่าที่ไหนน่าเที่ยวกันมั้ง
นี่คือ 7 เมืองหลักของโมรอคโคที่ทัวร์ควรจะต้องพาไป

1. มาราเกช (Marakesh)
เมืองท่องเที่ยวที่สำคัญตั้งอยู่เชิงเขาแอตลาสที่ความโด่งดังแซงหน้าคาซาบลังกาอันเป็นเมืองท่า และราบัทอันเป็นเมืองหลวง ในอดีตเมืองโอเอซิสแห่งนี้เป็นที่พักของกองคาราวานอูฐที่มาจากทางตอนใต้ของโมรอคโค ถือเป็นเมืองชุมทางของพ่อค้าต่างๆ นอกจากนี้ยังเป็นอดีตเมืองหลวงในช่วงสมัยราชวงศ์อัลโมราวิดช่วง ศ.ต.ที่ 11 ปัจจุบันเป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุด สภาพบ้านเมืองที่เราเห็นได้คือ สองข้างทางแวดล้อมด้วยบ้านเรือนที่ถูกฉาบด้วยปูนสีส้มๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลกำหนดไว้ แต่คนท้องถิ่นจะเรียกว่า Pink City หรือ เมืองสีชมพู อาจกล่าวได้ว่ามาราเกชเป็นเมืองที่มีเสน่ห์ที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง จึงได้สมญานามว่าเป็น A city of Drama นั่นคือมีความสวยงามดั่งเมืองในละครที่ไม่น่าเป็นชีวิตจริงได้
ไฮไลท์ของเมืองนี้คือจัตุรัสกลางเมือง Djemaa Fnaa Square ที่มีขนาดใหญ่ รายล้อมไปด้วยอาคาร ร้านค้า ตลาด ทั้ง 4 ด้าน ดูเผินๆ คิดว่าตลาดสวนรถไฟ แต่นี่แหละคือชีวิตชีวาของที่นี่

2. เฟส (Fez/Fes)
เมืองมรดกโลกที่เคยเป็นเมืองหลวงเก่าในศตวรรษที่ 8 เดินในเขตเมืองเก่าแล้วเหมือนข้ามกาลเวลาย้อนสู่อดีต สถานที่เที่ยวเด่นๆ มีประตู Bab Bou Jeloud สุสานของมูเล ไอดริสที่ 2 (Moulay Idriss Mausolem II) สุเหร่าใหญ่ไคเราวีน (Kairaouine Mosque) แต่ที่เป็นไฮไลท์ขโมยซีนได้สำเร็จเหนือที่อื่นใดคือบ่อฟอกและย้อมสีหนังแบบโบราณที่เป็นปั๊บก็รู้ว่าเป็นเมืองเฟสแน่นอน

3. ไอท์ เบนฮาดดู (Ait Benhaddou)
เป็นเมืองที่ชื่อเสียงในเรื่องการหารายได้จากกองถ่ายทำภาพยนตร์กว่า 20 เรื่อง โดยเฉพาะป้อมที่งดงามและมีความใหญ่ที่สุดในโมรอคโคภาคใต้ คือ ป้อมไอท์ เบนฮาดดู (Kasbash of Ait Ben Hadou) เป็นป้อมหินทรายซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางสวนอัลมอนด์ เป็นปราสาทที่ใช้ในการถ่ายทำภาพยนตร์หลายเรื่องที่โด่งดังอาทิ Lawrance of Arabia, Jesus of Nazareth และ Gladiator ปัจจุบันอยู่ในความดูแลขององค์การยูเนสโก้

4. คาซาบลังกา (Casablanca)
เมืองที่ต่อให้เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอยู่ที่ไหนในโลก ก็ต้องเคยได้ยินชื่อมาจากหนังฮอลลีวูดระดับคลาสสิคจากปี 1942 หรือเพลงป๊อปยอดนิยมจากปี 1982 เมืองท่าหลักที่เป็นจุดแตะลานบินของเที่ยวบินนานาชาติมีไฮไลท์ที่สุเหร่ากษัตริย์ฮัสซันที่ 2 (Hassan II Mosque) อันเป็นสุเหร่าใหญ่อันดับหนึ่งของโมรอคโค และใหญ่เป็นอันดับ 3 รองจากเมืองเมกกะ และเมดิน่าแห่งซาอุดิอาระเบีย สามารถจุคนภายในอาคารได้ 25,000 แต่หากรวมพื้นที่นอกอาคารแล้วสามารถรองรับได้ถึงแสน สุเหร่าที่บางส่วนสร้างยื่นลงไปบนทะเลนี้งดงามประณีตด้วยสถาปัตยกรรมแบบโมรอคโคทุกแขนง
เนื่องจากเป็นสิ่งก่อสร้างใหม่ เพิ่งสร้างเสร็จเมื่อปี 1993 จึงได้เปรียบด้านเทคโลโลยีคือหลังคาสามารถเลื่อนเพื่อปรับแสงตามความเหมาะสมของการใช้งานได้

5. ราบัต (Rabat)
เป็นเมืองหลวงทั้งที ไหนจะยอมน้อยหน้า ป้อมไอดูยะ (Kasbah of the Udayas) ป้อมอายุเกือบพันปี เป็นที่ตั้งของสวนอันดาลูเซีย (Andalucia Gardens) ที่ชื่อก็บอกว่าเป็นแบบสเปน ก็ประเทศเขาอยู่ตรงข้ามกันมีทะเลกั้นเท่านั้น จากมุมด้านนอกนี้แฟนหนังฮอลลีวูดอาจจะจำได้ เพราะทอม ครู๊ซเคยขี่มอเตอร์ไซค์ในฉากแอคชั่นไล่ล่าในภาคหนึ่งของ Mission Impossible ที่เที่ยวอื่นมีสุเหร่าหลวง พระราชวังหลวง และสุเหร่าฮัสซัน

6. เชฟชาอูน (Chefchaouen)
เมืองสีน้ำเงินทุกบ้านบนเนินเขา เป็นอีกหนึ่งสถานที่ ที่ไม่ควรพลาดเก็บภาพความประทับใจ เมืองเชฟชาอูนเป็นเมืองที่อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของโมร็อกโค ตั้งอยู่ ในเทือกเขา RIF โดยเมืองนี้ก่อตั้งขึ้นในปี 1471 เป็นป้อมปราการขนาดเล็ก ซึ่งยังคงอยู่ มาจนถึงทุกวันนี้ โดย เบนอาลี ซา เบน ต่อสู้กับการรุกรานของชาวโปรตุเกส ใน ปี 1920 เมืองนี้ได้ตกเป็นเมืองขึ้นของสเปน ณ ปัจจุบันเมืองนี้มีประชากรประมาณ 40,000 คน ก็ยังคงใช้ภาษาสเปนกันอย่างแพร่หลาย เมื่อในปี 1956 เมืองนี้ได้กลับสู่การปกครองของโมรอคโคจากความช่วยเหลือของฝรั่งเศล อิสระเก็บภาพแห่งความประทับใจเดินชมเมืองเล็กๆ และมีร้านค้าขายสินค้าพื้นเมืองที่เป็นเอกลักษณ์ของเมืองนี้

7. เมกเนส (Meknes)
หนึ่งในเมืองมรดกโลกรับรองโดยยูเนสโกเมื่อปี ค.ศ.1996 อดีตเมืองหลวงในสมัยสุลต่าน มูเล อิสมาอิแห่งราชวงศอ์ะลาวทิ (Alawite Dynasty) ได้ชื่อเป็นกษัตริย์จอมโหดผู้ชื่นชอบการทำสงครามในช่วงศตวรรษที่ 17 มีกำแพงเมืองล้อมรอบเมืองเก่าที่ยาวประมาณ 40 กม. ซึ่งมีประตูเมืองใหญ่โตถึง 7 ประตู แต่ไฮไลท์ที่อาศัยเมืองนี้เป็นจุดแวะตั้งหลักคือเมืองโบราณโรมันโวลูบิลิส (Roman city of Volubilis) ที่เห็นแบบนี้อาจคิดว่าเป็นปอมเปอี ของประเทศอิตาลี นั่นแสดงว่าอาณาจักรโรมันขยายอาณาเขตไปไกลขนาดไหน ปัจจุบันที่นี่เหลือแต่ซากปรักหักพังที่เกิดจากแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงในปี ค.ศ. 1755 แต่ยังคงเห็นร่องรอยความยิ่งใหญ่ของเมืองในจักรวรรดิโรมันในอดีต อดีตเมืองโบราณแห่งจักรวรรดิโรมันนี้มีความสำคัญในยุคศตวรรษที่ 3 และล่มสลายถูกปล่อยเป็นเมืองร้างในศตวรรษที่ 11 โวลูบิลิสได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ.1997

ทะเลทรายซาฮาร่า (Sahara)
ที่นี่ไม่ใช่เมือง แต่เป็นทะเลทรายที่…พระเจ้า…ชื่อนี้คุ้นตั้งแต่จำความได้! เป็นทั้งชื่อหนังและเป็นแรงบันดาลใจของหนังดังหลายเรื่อง ทะเลทรายแห่งนี้ี่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ที่สุดในโลกคือ มีเนื้อที่ประมาณ 9.3 ล้านตารางกิโลเมตร (ใหญ่เท่าอเมริกาทั้งประเทศ) กินพื้นที่เกือบแถบบนทั้งหมดของทวีปแอฟริกา ทะเลทรายซาฮาร่ามีสิ่งแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการดำรงอยู่ของชีวิตมนุษย์ สัตว์ หรือพืช เพราะฝนตกน้อยมาก และพื้นที่ไม่เหมาะแก่การเพาะปลูกหรือเลี้ยงสัตว์ หากมีสัตว์และพืชพันธุ์ใดที่สามารถเติบโตในทะเลทรายได้ ก็ต้องปรับตัวกันอย่างมาก เช่นเดียวกับมนุษย์ที่ต้องหาวิธีในการใช้ชีวิตให้อยู่รอดได้ จากสภาพการไร้ฝนและอุณหภูมิที่ร้อนจัดในทะเลทรายมีผลทำให้ความชื้นสัมพัทธ์ของอากาศเหนือทะเลทราย เกือบเป็นศูนย์ตลอดปี
แม้ทะเลทรายแห่งนี้จะครอบคลุมหลายประเทศ แต่ที่ไปง่ายและเป็นที่นิยมด้านท่องเที่ยวที่สุดก็หนีไม่พ้นที่โมรอคโคและอียิปต์