เราได้มีโอกาสไปท่องเที่ยวโมร๊อคโคเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2015 ที่ผ่านมา เป็นการเที่ยวรอบประเทศเส้นทางหนึ่ง พวกเรา 5 คน รุ่นเดียวกัน เพื่อนกัน เพื่อนของเพื่อน ใช้บริการทัวร์ท้องถิ่นตลอด 14 วัน โดยคนขับรถกับไกด์เป็นคนเดียวกัน พักที่ละ 2 วัน ยกเว้นทะเลทราย และพักใน Medina หรือชุมชนโบราณทุกที่ที่พัก 2 วัน
การเดินทางเริ่มจาก Casablanca visit mosque of Hassan II at the sun set time, to Rabat, the Capital of Morocco, to Chefchaouen, the “Blue” city in northwest of Morocco, to Fes, the double city, to Erfoud with dessert camping at Erg Chebbi Dunes, then take the long journey to Taroudant which is popular of Argan Oil. Then drive to Essaouisa, the Atlantic Coast, to Marrakech which you can see goat on the Argan Tree along the way and back to Casablanca again.
เราจะไม่บรรยายสถานที่เที่ยวต่างๆ เพราะน่าจะมีคนเขียนและถ่ายรูปไว้มากมายแล้ว แต่เราจะบอกเล่าถึงเรื่องอื่นๆแทน ที่อาจเป็นข้อมูลเล็กๆน้อยๆแทน
1. เวลาที่โมร๊อคโคช้ากว่าประเทศไทย 7 ชั่วโมง
2. เงินที่โน่นเรียกว่า เงินดีแรม Dehram อัตราแลกเปลี่ยน ณวันที่ไป 1 ดีแรมประมาณ 3.80 บาท สามารถแลกได้โดยใช้เงินยูโรหรือดอลล่าร์ที่สนามบิน หรือธนาคารทั่วไป ปรากฏว่า เมื่อรูดการ์ด กลับได้อัตราที่ดีกว่า เมื่อเรียกเก็บคือ จ่ายที่ 3.70 บาทต่อดีแรม
3. หน้าตาคนที่นั่นจะมี 3 แบบ เป็นแบบหน้าแบบแขกๆ Arab หน้าแบบแขกขาวที่หล่อๆหรือ Berber และแบบนิโกรที่มาจากซูดาน โดยสมัยก่อนเขาเอาเข้ามาเป็นทาส ทุกวันนี้ก็ยังเป็นประชากรชั้นสุดท้ายอยู่ดี
4. ชุดประจำชาติจะเป็นเสื้อคลุมยาวๆ บางทีก็มีฮู๊ด บางทีก็ไม่มี รองเท้าปลายแหลม
5. อาหารประจำโต๊ะคือ ขนมปังแบนๆ ก้อนใหญ่หั่นสี่ และมะกอกดอง ไม่ว่าจะเป็นร้านบ้านๆหรือภัตตาคารหรูๆจะเห็นตลอด พวกเรายังสันนิษฐานว่า ที่ระบบขับถ่ายดี อาจเป็นเพราะมะกอกพวกนี้นี่เอง

6. มะกอกมี 3 สี เขียว แดง ดำ และต้องดอกก่อนกินเสมอ ไม่งั้นฝาดมาก ส่วนกรรมวิธีก็แล้วแต่ พบว่า ส่วนใหญ่จะดองมะกอกดำเค็มมาก ไม่รู้เพราะอะไร เขียวกับแดงจะรสดีกว่า และมักจะต้องใส่เครื่องเทศที่เรากินก็รู้ว่ากลิ่นแขกทุกที่

7. หากกินอาหารเช้า ต้องระวังว่า กระปุกสองกระปุกบนโต๊ะเป็นเกลือกับเครื่องเทศ ไม่ใช่พริกไทยนะจ๊ะ หายากเลยแหละ
8. น้ำส้มที่นี่อร่อยมาก ราคาถูก รสชาติอมเปรี้ยวอมหวาน ไม่เปรี้ยวมาก และไม่หวานจัด ถ้ากินตามภัตตาคารก็ราคาแบบภัตตาคาร แต่ถ้ากินตามร้านน้ำส้มคั้นในตลาด ราคาเพียง 4 ดีแรม หรือประมาณ 15 บาทต่อถ้วยขนาด 250 ซีซี พวกเราเลยจัดไปทุกที่
9. น้ำอ้อยคั้นกับเลมอนก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่แนะนำ อร่อยมาก ราคา 5 ดีแรม หรือประมาณ 20 บาท พบได้ที่ Essaouira
10. ทับทิมเป็นผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่พบได้ทั่วไป ราคาไม่แพงตกลูกละ 20 บาท รสดี เม็ดลีบ แต่มาคั้นน้ำแล้วสู้น้ำสัมไม่ได้ และไม่อร่อยเท่าน้ำทับทิมคั้นบ้านเรา แนะนำกินสด แต่ระวังมีลมในท้องนะจ๊ะ
11. อาหารขึ้นชื่อที่โน่นคือ Tajine and Tanjia โดยทาจีนจะเป็นที่นิยมมากกว่า ทาจีนเป็นจานกระเบื้องที่ใช้ตุ๋นอาหารบนเตาโดยมีฝาปิดเหมือฝาขนมครกบ้านเรา ข้างในจะเป็นเนื้ออะไรก็แล้วแต่ต้องการ ส่วนใหญ่จะมีมะกอกเป็นส่วนประกอบอาหาร ส่วนแทนเจียจะเป็นหม้อต้ม แล้วเทออกมาใส่จาน ซึ่งพอเทออกมาก็เหมือนกันหมด จะพบเห็นทาจีนตลอดทริป เรียกว่า กินครั้งแรกก็ดูดี นานๆไปชักไม่ไหว กลิ่นเครื่องเทศมันเยอะจนมึน

12. ไม่มีอาหารประเภทน้ำ พวกแกงจืด มีอย่างเดียวคือ Morocco Soup เป็นซุปข้น

13. Kefta เป็นอีกเมนูที่แนะนำ เป็นเนื้อสับปั้นก้อน แล้วนำมาย่าง กินกับขนมปัง มะกอกดอง พริก ก็อร่อยดี เมนูนี้ไม่ค่อยมีเครื่องเทศ ค่อยยังชั่วหน่อย
14. ราคาอาหารตามภัตตาคารเป็นมาตรฐานแบบยุโรปเลย ค่อนข้างสูงเลยทีเดียว
15. การรออาหารที่นี่ต้องทำใจมาก ช้ามากกกกก ทำให้การกินแต่ละครั้งกินเวลานานมาก
16. ซีซ่าร์สลัดรสชาติไม่อร่อย ไม่เหมือนบ้านเรา กินกี่ร้านก็ไม่ได้เรื่อง เลยไม่รู้ว่า บ้านเราเอามาดัดแปลงจนถูกปากหรือเปล่า
17. ชีสสดที่นี่เป็นชีสแพะ สำหรับเรามันเหม็นสาบมาก แต่ชีสตราวัวแดงที่นี่เยอะมาก ราคาถูก รสชาติเหมือนบ้านเรา
18. คนที่นี่ไม่กินเหล้า และไม่ขายในร้านอาหารท้องถิ่น แต่ในโรงแรมขายได้ และหากกินในงานปาร์ตี้ก็กินได้ แต่จะถือขวดเหล้าออกมาข้างนอก หรือเมาข้างนอกไม่ได้
19. ร้านอาหารญี่ปุ่นเคยพบร้านเดียวที่ Rabat แต่อาหารจีนแทบไม่เคยเห็นเลย หรือเที่ยวไม่ทั่วก็ไม่รู้ แต่เห็นร้านอาหารไทย 1 ร้าน
20. บ้านเมืองทั่วไปก็ใช้ได้ สายไฟลงดินหมด ถนนกว้าง ตามแยกต่างๆจะเป็นวงเวียนเตี้ยๆเพื่อให้รถชะลอ
21. ที่นี่ขับรถชิดขวานะคะ ส่วนวินัยจราจรเป็นสุดยอดของความเละเทะ ทั้งข้ามถนนตัดหน้า ทั้งเบียดกัน ทั้งกลับรถเมื่อต้องการ ทั้งจอดรถซ้อนคัน เรียกว่า ทุกอย่างเลย แต่ที่น่าประหลาดคือ เขาไม่มีการกดแตรด่ากัน มีแต่ ซาลามมาเลกุมกัน แต่ ไกด์เรารักษาความเร็วตามกำหนดมาก เห็นว่าเพราะถ้าโดนปรับจะแพงมาก
22. เรื่องทิปนี่เรื่องใหญ่ ต้องจ่ายค่าทิปทุกอย่าง เข้าห้องน้ำ จอดรถ กินอาหาร ถ่ายรูป สาวไทยก็เข้าห้องน้ำบ่อยมาก ตอนแรกก็ไม่รู้หรอก เพราะไกด์จ่ายให้ และอย่าคิดว่าจะหาห้องน้ำได้ตลอดทางนะ บางครั้งต้องเข้าทางร้านอาหารที่มีแต่ผู้ชายนั่งเต็มไปหมด และห้องน้ำบางที่ก็น่ากลัวไม่แพ้จีน แต่ส่วนใหญ่ก็ใช้ได้นะ
23. น้ำดื่มเป็นแบบขวดเล็ก 350 ซีซี กับขวดขนาด 1500 ซีซี เลย
24. ไวน์ที่นี่รสดี ราคาถูก เห็นเพื่อนคอไวน์เขาบอกมา เบียร์คาซาบลังกาก็อร่อยจ้า
25. กษัตริย์ที่นี่มีวังทั่วประเทศ 20 กว่าแห่ง มักใช้ชื่อไม่ Mohammed ก็ Hassan องค์ปัจจุบันคือ Mohammed VI ส่วนลูกชื่อ Hassan ถ้าได้เป็นกษัตริย์จะเป็น Hassan III
26. สุเหร่ามีทุกที่ คล้ายหอคอย สังเกตง่าย บางที่เฉพาะผู้ชาย บางที่เฉพาะผู้หญิง แต่ส่วนใหญ่ผู้หญิงจะทำละหมาดที่บ้านมากกว่า เพราะต้องทำงานบ้าน
27. โมร๊อคโคเคยเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส ดังนั้น ภาษาหรืออิทธิพลของฝรั่งเศสจะมีมากกว่าสเปน ที่อยู่ห่างไปเพียง 14 กม เมื่อข้ามช่องแคบ บางคนมักจะเที่ยวสเปนแล้วข้ามเรือมาโมร๊อคโค
28. Medina เป็นชุมชนโบราณ มีรั้วใหญ่ล้อมรอบ อยู่กันอย่างแออัด ช่องทางเดินเล็ก และวกวน ไม่มีชื่อป้ายชื่อซอย ส่วนใหญ่ มักใช้การเดินเสียส่วนใหญ่ และแน่นอน จักรยาน มอเตอร์ไซค์ รถเข็นต้องมา ในบริเวณที่กว้างหน่อย ก็จะมีรถแล่นสวนกัน ทั้งรถ ทั้งคน สวนกันไปมาน่าหวาดเสียวมาก
29. เราพักในเมดิน่า นั่นคือ ต้องจอดรถรอบนอก เอากระเป๋าใส่รถเข็น และเดินเข้าไป อย่างน้อยก็ประมาณ 100 เมตร อารมณ์เหมือนเดินผ่านตลาดสด มีทั้งร้านขายของ อาหาร พื้นไม่เรียบเพราะปูด้วยหิน แฉะๆบางที่ ผนังในเมดิน่าจะทำจากดินผสมหญ้า ไม่มีการฉาบเรียบ เห็นแต่ประตู ร้านค้าเล็กมาก ถ้าเป็น Guest House ส่วนใหญ่ใช้คำว่า Dar or Maison ก็จะเห็นแต่ประตู แต่เมื่อเข้าไปแล้วเป็นอีกโลกนึงเลย
30. Dar ส่วนใหญ่จะเป็นบ้านที่มีช่องตรงกลางไว้ระบายอากาศ บางที่ปลูกต้นไม้ บางที่เป็นช่องว่าง และห้องพักจะอยู่รายรอบอีกที เป็นแบบทรงสูงคือ ห้องอยู่ชั้น 2-4 และมักมีดาดฟ้าไว้ชมวิวหลังคาติดๆกัน และแน่นอนว่าไม่มีลิฟท์ค่ะ เดินตลอด เลยต้องทิปคนแบกกระเป๋าหนักมาก ทิปทั้งคนลากกระเป๋าขาไปขากลับอีก


31. ศิลปะของโมร๊อคโค สวยงามละเอียดมาก ต้องใช้เวลา ฝีมือ มาก ทั้งแบบแกะสลักจากผนังปูน ทั้งการทำโมเสด และตาม Dar ต่างๆก็มักมีศิลปะแทรกอยู่ทุกที่ บอกได้เลยว่า มีเสน่ห์ น่าพักทุกที่ แตกต่างกันไป



32. อากาศที่มี ร้อนสุดถึง 56 องศาเซลเซียส แต่หนาวจนถึง 7 องศาเซลเซียสเลย ช่วงอากาศกว้างมาก ช่วงที่ไปเป็นหน้าฝนค่ะ คือประมาณ พฤศจิกายนถึงมกราคม ทริปเราโชคดีมากที่ไม่เจอฝนเลย อุณหภูมิประมาณ 25 องศา และเย็นลงตอนกลางคืน วันกลับนี่เหลือ 7 องศาเลย เห็นไกด์ว่า ช่วงที่น่าไปคือกันยายนนะคะ และช่วงหน้าร้อนคือ มิถุนายน กรกฎาคม อย่าได้แหยมไปเด็ดขาด อาจกลายเป็นหมูตากแห้งได้
33. ดอกไม้ต่างๆเหมือนบ้านเราเลย ไม่ว่าจะเป็นเฟื่องฟ้า ชบา แต่ดูสวยกว่านะ ผลไม้ก็เหมือนกัน เห็นว่ามะละกอนำพันธุ์มาจากไทย แต่ไม่เคยเห็นเขากินกันเลย และไม่มีขายด้วย ต้นส้มเป็นต้นไม้สาธารณะตามทางเดินทั่วไป
34. หาดทรายที่นี่เป็นหาดทรายของมหาสมุทรแอตแลนติด กว้างและยาวมาก ไม่มีร่ม คนขายของให้เสียทัศนียภาพ แถมด้วยถนนคนเดินตลอดแนวกว้างเป็น 10 เมตร ถัดไปค่อยเป็นถนน ถึงจะเป็นตัวอาคารเตี้ย คือมันดีมากอ่ะ ผู้คนเดินกันขวักไขว่ อากาศเย็นสบาย แต่ไม่กล้าลงน้ำนะ มันหนาว และน้ำทะเลก็ไม่ได้ใสอะไร เหมือนปกติ เป็นที่โปรดปรานของชาวยุโรป จะพบเห็นได้มากที่ Agadir and Essaouira เป็นเราก็ขอพักที่นี่ อากาศดีมาก



35. ทะเลทรายหนาวมาก แคมป์ที่พักหรูหรานะ มีชักโครก ห้องน้ำในตัว เขาจะปูเสื่อผ้าที่พื้น ช่วยให้เดินง่าย ไม่งั้นจะจมทรายเอา และทะเลทรายไม่ได้สวยทุกที่นะ




36. อาคารส่วนใหญ่โทนสีอิฐ ยกเว้นใน Chefchaouen เป็นสีขาวฟ้า เป็นความเชื่อทางศาสนาของเมืองนั้น จุดสังเกตว่า ซอยแคบนั้นเป็นทางตันหรือไม่ ให้ดูว่าพื้นทาสีฟ้าไหม ถ้าทา แสดงว่าเป็นทางตัน
37. รูปดาวที่ธงเป็นคำสั่งสอน 5 ประการขององค์ศาสดา
38. ร้านกาแฟส่วนใหญ่จะมีแต่ผู้ชายนั่งและหันหน้าสู่ถนน ผู้หญิงห้ามนั่ง ยกเว้นนักท่องเที่ยว เวลาเดินผ่านจะมองตลอด แต่ก็ไม่มีอะไร ปลอดภัยค่ะ
39. การจ่ายเงินซื้อของอย่าลืมเงินทอน เพราะเวลาจ่ายเหมือนจะฉกเงิน แต่เวลาทอนจะนานมากกกก เหมือนจะรอให้เราลืม
40. ไม่แนะนำให้ซื้อของร้านค้าที่ติดว่า Tax Free เพราะการเคลมภาษีแย่มาก ไม่มีเจ้าหน้าที่ประจำ ต้องรอร่วมชั่วโมงจนเกือบตกไฟท์ แถมต้องเดินเข้าเดินออกในส่วนที่ต้องตรวจกระเป๋า เรียกว่าเคลม Terminal 1 รับเงิน Terminal 2